“ดร.สุกิจ” คลี่ปม 8 ปีนายกฯ ความเห็น กรธ. ไม่มีผลเป็นกฎหมายตาม รธน. 2560 “วันชัย” ถอดรหัสดวงดาว ชี้ 30 ก.ย.นี้ เกิดอาฟเตอร์ช็อกทางการเมือง “บิ๊กตู่” หนาว! “ไพศาล” แนะจับตา “ธรรมนัส” มือประสานเทียบ เสธ.หนั่น
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ก.ย. 65) ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสุกิจ พูนศรีเกษม ระบุว่า
“ปม 8 ปี นายกรัฐมนตรี ความเห็นคณะร่างรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือไม่
ความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 ซึ่งมีการประชุมกันเมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 19 คน โดยในการประชุมวันนั้น นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธานกรรมการคนที่ 1 ให้ความเห็นต่อที่ประชุม ว่า หากนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับ เมื่อประเทศไทยยังคงมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวรวมเข้ากับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยเป็นกฎหมาย หรือไม่
เห็นว่า การยกร่างกฎหมายของไทยนั้น ได้รับเอาแนวความคิดของระบบ Commom Law แนวคำพิพากษาของศาลฎีกา มาใช้เป็นเครื่องมือในการตีความของกฎหมาย
ในการศึกษากฎหมายไทย “คำพิพากษาศาลฎีกา” ไม่ใช่กฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายใดยอมรับให้อำนาจศาลออกกฎหมายได้ เจตนารมณ์ ของผู้ร่างกฎหมายจึงเป็นความรู้สึก ตราบใดที่ยังไม่ประกาศ “ใช้” ย่อม “ไม่มีผลย้อนหลัง”
คำพิพากษาศาลฎีกาย่อมมีสถานะเป็นตัวอย่าง ในการตีความของกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2565 (การบังคับใช้กฎหมายภายใต้หลักนิติธรรม : กฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษ) วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “วิเคราะห์ฎีกาคดียาเสพติด”
ด้วยเหตุดังกล่าวความเห็นของผู้ยกร่างกฎหมาย ปม 8 ปี ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่ใช่กฎหมายที่จะใช้บังคับได้ จึงต้องนับตั้งแต่คณะรัฐมนตรี เห็นชอบและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560
ขณะเดียวกัน นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ถอดรหัสดวงดาวกับการตัดสินคดี 30 ก.ย.
ทั้งๆ ที่รู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเขากำหนดตัดสินคดีในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ก็แค่อีก 10 กว่าวัน แต่คนก็อยากรู้กันว่า นายกฯ พลเอก ประยุทธ์ จะรอดหรือไม่รอด วิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าไม่รอด บ้างก็ว่ารอด ด้วยเสียงเท่านั้นเท่านี้ โดยมี 5 ต่อ 4 เสียงที่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นเสียงตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ท่านหยุดปฏิบัติหน้าที่ ดูกระแสทั้งภายในและภายนอกสภามันก็เงียบๆ สงบ ไม่มีอะไรเท่าไหร่ อาจจะเริ่มมีแรงปะทะระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันในโค้งสุดท้ายปลายสมัยประชุม
เอาล่ะ... ที่ผมเคยบอกว่า สิ่งที่ไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ด้วยอิทธิพลของดาวมฤตยูและราหูที่ทับดวงเมือง จะไปผ่อนคลายก็ เม.ย.ปีหน้าโน่น
วันที่ 30 ก.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร ไม่มีใครรู้ เป็นเรื่องคาดเดากันทั้งนั้น ศาลแต่ละคนเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองจะตัดสินอย่างไร และใครคิดอย่างไร ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ ก็คาดเดาเหมือนที่คนอื่นคาดเดา แต่ขอเอาดวงดาวในวันที่ 30 ก.ย.มาวางและถอดรหัสให้ดูกันทีละดวงดีกว่า
ในวันนั้นดาวพฤหัสเป็นวินาศกับลัคนาดวงเมือง ดาวอาทิตย์และดาวศุกร์เป็นอริกับดวงเมือง จันทร์เป็นมรณะกับดวงเมือง อังคารอยู่เรือนกดุมภะแต่ถูกดาวมฤตยูทับไว้...ในพื้นของดวงดาวเหล่านั้นยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของมฤตยูและราหูทับดวงเมือง หมายความว่าความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ความพลิกผันกับผู้มีอำนาจพร้อมที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ
ดาวพฤหัสคือเลข 5 อยู่ในเรือนวินาศยังแรงอยู่ หมายถึงผู้มีอำนาจผู้ทรงอิทธิพลจะหมดฤทธิ์หมดเดชหมดอำนาจ เลข 5 จะเกี่ยวกับ 5ต่อ4 ที่ผ่านมาหรือไม่..ไม่รู้
แต่ช่างเหมาะเหม็งกันเหลือเกิน ดาวอาทิตย์เป็นเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่ก็เป็นอริกับดวงเมือง อาทิตย์คือหมายเลข 1 ส่งพลังแห่งความเป็นอริแรงมากในวันนั้น เลข 1 จึงอาจจะมารวมกับเลข 5 เป็น 5 + 1 = 6 ก็เป็นไปได้ ดาวจันทร์อยู่ในเรือนมรณะ หมายถึงความมีโชคมีชัยและชัยชนะ อับแสง เดือนดับ ไม่สว่างไสว ยิ่งในวันนั้นดาวอังคารหมายถึงดาวทหารซึ่งเป็นดาวประจำตัวก็ถูกอับแสงด้วยมฤตยู ฤทธิ์เดชของดาวอังคารเลยหมดพลัง ขาดความขลังความศักดิ์สิทธิ์
เมื่อถอดรหัสดวงดาวแต่ละดวงในวันที่ 30 ก.ย.นี้แล้ว จะเห็นได้ว่า ผู้มีอำนาจที่มีบทบาทมีตำแหน่งหน้าที่ในบ้านเมืองจะสิ้นยศหมดตำแหน่ง บุญไม่มาวาสนาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย จากเลข 5 ก็อาจจะมีเลข 1 ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นอริโคจรมาบรรจบพบกันกลายเป็น 5+1 เป็นพลังแห่งวินาศ+อริ มฤตยูและราหูครอบงำซ้ำเติม ส่วนเลข 3 ดาวอังคารก็หมดฤทธิ์หมดเดช ดูแล้วผู้มีอำนาจตกอยู่ในภาวะหนักหนาสาหัสสากรรจ์...
ทั้งหมดเป็นเรื่องของดวงดาวในวันนั้นจริงๆ ส่วนศาลจะตัดสินว่าอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องของดวงดาวก็เป็นเรื่องของดวงดาว ไม่เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และผมก็ไม่รู้จริงๆว่าจะตัดสินออกมาอย่างไร แต่ตามดวงดาวที่ผมเห็นมันเป็นเช่นนั้น”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายอิสระโพสต์ Facebook ระบุว่า
“อย่ามองข้ามธรรมนัส!!!
เรื่องราวของผู้กองธรรมนัส กำลังสู่เส้นทางแมวเก้าชีวิตจริงๆ
1. พรรคพลังประชารัฐ สายลุงป้อมประกาศจุดยืนชัดเจนเป็นพันธมิตรกับพรรคเศรษฐกิจไทย จะหลีกทางให้กันทุกเขตเลือกตั้ง
2. พรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายค้านก็จีบจะให้ไปร่วมพรรคซึ่งเคยเป็นน้ำเนื้อเดียวกันมาก่อน
3. ลุงสันติ รัฐมนตรีช่วยคลังมาอีกทาง ดังที่เป็นข่าวว่าจะไปยกเอา ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย กลับ พลังประชารัฐ ซึ่งไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้ เพราะต้องฟังและดูท่าทีลุงป้อมเป็นหลัก
4. ที่น่าจับตาคือ ผู้กองธรรมนัส กำลังเดินหมากสำคัญทางการเมือง คือ การก่อตั้งพรรคแนวร่วมแบบ “อัมโน” ที่เคยครองอำนาจในมาเลเซียถึง 50 ปี
ส่วนพรรคไหนจะเป็นแนวร่วมอัมโนบ้าง อีกไม่นานคงปรากฏรูปโฉม
5. ได้ยินข่าวว่าสถานทูตจีนส่งเทียบเชิญผู้กองธรรมนัสเข้าร่วมงานวันชาติในปีนี้ด้วย ได้ยินว่าเทียบเชิญเต็มเพียบ
6. นับแต่ เสธ.หนั่น ล่วงลับแล้ว ใครเล่าที่จะเป็นมือประสานการเมืองเท่ากับผู้กองธรรมนัสในวันนี้?
เพราะความเป็นคนจริงจังจริงใจกับคนอื่น ใจถึงพึ่งได้และพร้อมจะออกหน้า เอาอกแอ่นรับเกาทัณฑ์แทนผู้หลักผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงนั้น จะหาได้จากใครในวันนี้?
อ้อ ผู้กองธรรมนัสนั้น ซี้ปึกกับท่านประมุขบ้านริมน้ำ สุชาติ ตันเจริญ และแนบแน่นกับท่านอุตตม ต่อสายประสานกันไม่ได้หยุดด้วยนะจ๊ะ!!!!”
แน่นอน, ยิ่งใกล้วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ปม 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ความเห็นมุมมอง รวมทั้งการให้ความรู้ด้านกฎหมายของผู้รู้ ก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เห็นว่า การตีความกฎหมายเป็นอย่างไร และยิ่งอยากฟังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะออกมาอย่างไร ตรงกับที่หลายคนวิเคราะห์เอาไว้หรือไม่
แม้แต่เรื่อง โหราศาสตร์ การวิเคราะห์ดวงดาว เมื่อหยิบยกขึ้นมาประกอบคำทำนาย ก็อาจทำให้หลายคนเชื่อตามมากกว่าการตีความกฎหมายด้วยซ้ำ?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนก็จะต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดี และต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีผลผูกพันกับทุกคนทุกองค์กรนั่นเอง