ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ไม่มีหนู ไม่มีงูเห่า มีแต่คนบ้านเราที่พัฒนา “อนุทิน” ฟาดคืนครอบครัวชินวัตร
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองจับจ้องไปที่สมรภูมิรบภาคอีสาน ควันหลงหลังจาก พรรคเพื่อไทย ที่นำโดย “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ในถิ่นของภูมิใจไทย ใช้ชื่อแคมเปญ “ไล่หนูตีงูเห่า” ที่ จ.ศรีสะเกษ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ตามมาว่า คนเสื้อแดงน้อยกว่าที่คาด แถมถูกหยันเกณฑ์คนมาฟัง ไม่ได้มาด้วยใจ เป็น “กำลังจัดตั้ง” ที่ต้องการโหมกระพือกระแส “แลนด์สไตล์” เท่านั้นเอง
งานนี้ก็ต้องฟังคนในพื้นที่ เขาว่ามาแบบนี้ ภาพสร้างกันได้ แต่ความเป็นจริงจะเป็นอย่างมายาที่แสดงออกมาหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจากความพยายาม “ตีฆ้อง” แลนด์สไลด์ของเพื่อไทยได้สะท้อนให้เห็นว่า “ครอบครัวชินวัตร” นั้น หวั่นไหวต่อการรักษาฐานที่มั่นในเขตต่างๆ ทั่วภาคอีสาน ที่ชักมี “งูเห่า” เพิ่มปริมาณเรื่อยๆ ไม่เฉพาะแต่ที่ศรีสะเกษ ขึ้นไปที่ “นครพนม” แม้ “อุ๊งอิ๊ง” จะปล่อยลูกอ้อน “เว้าอีสาน” ทักทาย “ซำบายดีบ้อ คุณพ่อกับคุณอา ฝากมาว่าคิดฮอดหลายแท้” หวังจะสื่อให้คนอีสาน รับรู้ว่า ครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่ทักษิณไปยันยิ่งลักษณ์ ยังคิดถึง ให้ความหวัง ส.ส.อีสาน ว่าจะกลับมามีอำนาจในรัฐบาล เอาเข้าจริงๆ กลับมีข่าว ส.ส.ย้ายค่าย ย้ายสังกัด ไปอยู่กับพรรคอื่นสวนทางคำโฆษณาชวนเชื่อของครอบครัวเพื่อไทย และยิ่งใกล้เลือกตั้งก็น่าจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่า พอโดนบุกไป “ตีงู” ที่อีสานใต้ ด้วยแคมเปญที่จงใจสื่อให้คนเห็นว่าเป็นพื้นที่ของ “หนู” ... “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่อยู่เฉย คืนวันก่อนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Anutin Charnvirakul พร้อมภาพ ส.ส. และสมาชิกพรรค จ.ศรีสะเกษ โดยมีข้อความบนภาพระบุว่า “ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ ยินดีต้อนรับแขกทุกท่านที่มาช่วยกันพัฒนาบ้านเรา ไม่มีหนู ไม่มีงูเห่า มีแต่คนบ้านเราที่พัฒนา” พร้อมแคปชั่นว่า คนภูมิใจไทย หัวใจคิดบวก ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน พร้อมติด 3 แฮชแท็ก
#ศรีสะเกษยกทีม #พรรคภูมิใจไทย #เลยต้องลุยเอง
“อนุทิน” ยังให้สัมภาษณ์ขยายความต่อมาว่า จ.ศรีสะเกษ มี ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว พรรคเพื่อไทยลงพื้นที่มาก็เห็นมีมาจากหลายจังหวัด หลายคนเหมือนผู้มาเยือน เราก็ต้องต้อนรับเป็นธรรมดา ยิ่งมาในนามของนักการเมือง ก็หวังว่า จะช่วยเข้ามาพัฒนาพื้นที่ ถือเป็นเรื่องดี เอาเข้าจริง จ.ศรีสะเกษ ที่เติบโตมาได้ก็เพราะช่วยกันพัฒนา ไม่มีทั้งนั้น ทั้งงู ทั้งหนู มีแต่คนที่ลงมือทำ แล้วถ้าใครทำได้ดีกว่า ประชาชนก็เลือกคนนั้น เราจึงมุ่งทำงานเต็มที่ คนที่มาอยู่กับเรา ก็ล้วนเป็นคนมีผลงาน มีฝีมือ พูดแล้วทำ เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียประชาชนก็เลือกคนที่ทำประโยชน์ให้พื้นที่
ฟาดนิ่มๆ ในทำนองการกระทำสำคัญกว่าการคุยโม้โอ้อวด เลือกตั้งงวดนี้เห็นทีสมรภูมิอีสานจะเดือดปุดๆ อย่างไม่ต้องสงสัย.
** “จุรินทร์” ว่าไง! ปุ๋ยวันนี้แพงระยับ กระสอบละสองพัน หรือจะซ้ำรอยหน้ากากอนามัย เอื้อประโยชน์ใคร?
ไม่เฉพาะแต่ชาวบ้านชาวช่องที่ตั้งคำถามถึงกระทรวงพาณิชย์ ที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นั่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีพาณิชย์ มีไว้ทำไม ? ทำไมไม่ทำหน้าที่ช่วยแก้ปัญหา “ค่าการกลั่นน้ำมัน” ของโรงกลั่นที่โกยกำไรอื้อซ่าในภาวะน้ำมันแพง ปัญหาราคาสินค้าอื่นๆ ตอนนี้ก็ถูก ส.ส.ฝั่งรัฐบาลด้วยกันสงสัยเช่นกันว่า มัวทำอะไรอยู่
อย่าง “พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ใช้เวลาช่วงกักตัวอ่านข้อความในเฟซบุ๊กที่ส่งเข้ามา นอกจากเรื่องของราคาน้ำมันที่หลายๆ คนพูดถึง ยังมีพี่น้องประชาชนส่งข้อความกันมากคือ เรื่อง “ราคาปุ๋ยแพง” ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ตัวดิชั้นเองพอมาอ่านข่าวต่างๆ ก็ยังสงสัยว่า ทำไมผู้ที่รับผิดชอบของรัฐบาล ถึงไม่ได้พูดถึง ถึงการแก้ปัญหาในเรื่องนี้
ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี ที่ตั้งแต่วิกฤตสถานการณ์โควิด หลายๆ ประเทศขาดแคลนอาหาร ประเทศไทยเราไม่เคยขาด และยังเป็น foodbank ที่หลายๆ ประเทศหมายปอง ประชากรในประเทศไทยประมาณ 8 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 30 ล้านคน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม นั่นหมายความว่า ภาคเกษตรมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยไปกว่าภาคอื่นๆ เราผลิตสินค้าการเกษตรเพื่อบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ ออกมาให้ข่าวว่า GDP ภาคเกษตร Q3/64 โต 6.5% ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีนะคะ
แน่นอนค่ะว่า ราคาต้นทุนของปุ๋ยที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการผลิต และที่น่าตกใจก็คือ ราคาปุ๋ยวันนี้สูงไปถึงกระสอบละ 2,000 บาท !!
“ปุ๋ย” เป็นวัตถุดิบสำคัญของเกษตรกร ไม่ว่าจะปลูกอะไรก็ต้องใส่ปุ๋ย เพื่อให้พืชเจริญเติบโต งอกงาม ปุ๋ยคิดเป็นต้นทุนประมาณ 19-20% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
ประเทศไทยต้องนำเข้าแม่ปุ๋ยจากต่างประเทศเกือบทั้งหมดปีละ 5 ล้านตัน ราคาปุ๋ยในตลาดโลกพุ่งขึ้นมากกว่า 100% ซึ่งปัญหาปุ๋ยแพง สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ คือ สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ทำให้ต้นทุนพลังงาน และสินค้าทุกอย่างแพงขึ้น
รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องหามาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ว่า ปัญหาปุ๋ยแพง ดิชั้นยังไม่เห็นทางกระทรวงพาณิชย์ ลงมือทำอะไรสักอย่าง ที่จะเป็นการช่วยผ่อนหนักเป็นเบา บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน มีแต่การแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ว่า ขอความร่วมมือจากผู้นำเข้าให้ตรึงราคาปุ๋ย แต่ในที่สุดก็ยอมให้ขึ้นราคา โดยอ้างว่า ถ้าไม่ให้ขึ้นราคาผู้นำเข้าจะไม่สั่งปุ๋ยเข้ามาขาย ทั้งๆ ที่ปุ๋ยเป็นสินค้าควบคุม
มาถึงตรงนี้ดิฉันเริ่มไม่เเน่ใจในการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นผู้มีบทบาทในการควบคุมสินค้า ว่า ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา พอเกิดวิกฤตต่างๆ เรื่องทุกอย่างกลับมาแดงที่กระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการกักตุนหน้ากากอนามัย กักตุนหมู ทำให้ราคาหมูแพง แล้วยังมาถึงราคาปุ๋ยที่แพงขึ้นอีก
ไม่อยากจะเห็นเรื่องปุ๋ยแพง จบเหมือนเหตุการหน้ากากอนามัย และหมูแพง ที่เหมือนจะทำเพื่อเอื้อประโยชน์กลุ่มคนบางคนของตัวเอง?? แต่ทั้งหมดมันคือความเดือนร้อนของประชาชน
ปัญหาปุ๋ยแพงจะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี และมีแนวโน้มจะแพงขึ้นไปอีก หากสถานการณ์ในยูเครน ยังยืดเยื้อต่อไป ซึ่งหวังว่าจะเห็นท่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายที่ชัดเจน และเร่งด่วน ดิฉันเป็นห่วง หากวันหนึ่งเกษตรกรซื้อปุ๋ยไม่ไหว การผลิตลดลง ใครล่ะจะเป็นผู้รับผิดชอบ #ปุ๋ยแพง #ใครล่ะจะรับผิดชอบ #เกษตรกรไทย
นี่ก็ต้องตั้งคำถามไปถึง “จุรินทร์” จะว่าอย่างไรล่ะงานนี้!!