xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” จี้ “บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก-ชัชชาติ” ยกเลิกข้อเจรจา คกก.- BTS หยุดบีบ กทม.ต่อสัมปทาน 30 ปี แลกหนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ร่อนหนังสือนายกฯ-มท.1-ผู้ว่าฯ กทม. ชี้ผลเจรจา คกก.กับบีทีเอสขัดต่อคำสั่ง คสช. ขอให้เพิกถอนและหยุดบีบ กทม.ต่อสัมปทานอีก 30 ปีแลกหนี้รัฐบาล ย้ำหมดสัญญาไม่มีต้นทุนค่าโครงสร้างระบบราง ค่ารถถูกลง

วันนี้ (14 มิ.ย.) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. และอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงเรื่องสัมปทานรถไฟฟ้า มีเนื้อหาว่า รสนาส่งหนังสือถึงนายกฯชี้ผลเจรจาของคณะกรรมการกับบีทีเอสขัดต่อคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 ขอให้เพิกถอนและหยุดบีบกทม.ต่อสัมปทานอีก 30 ปี แลกหนี้รัฐบาล

วันนี้ (14 มิ.ย.) ดิฉันส่งหนังสือขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา พิจารณายกเลิกและเพิกถอนผลเจรจาระหว่างคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งมาตรา 44 ของ คสช.ที่ 3/2562 กับบริษัทผู้รับสัมปทาน (บีทีเอส) ในข้อ 3 วรรคสอง ซึ่งผลการเจรจาดังกล่าวตัดสินให้ กทม.ต้องขยายเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(จากสถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช) ซึ่งจะหมดอายุในปี 2572 โดยขยายเวลาไปถึงปี 2602 ในราคา 65 บาทตลอดสายเพื่อแลกกับหนี้ค่าเดินรถส่วนต่อขยาย (2) ประมาณ 40,000 ล้านบาท และหนี้ค่าก่อสร้างส่วนต่อขยาย (2) อีกประมาณ 60,000 ล้านบาท (ตามเอกสารแนบ 1)

ผลสรุปดังกล่าวเป็นการเจรจาที่ขัดต่อสาระหลักในข้อ 3 วรรคสี่ของคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562

ข้อ 3 วรรคสี่ ระบุว่า “ในการดําเนินการตามวรรคสองและวรรคสาม ต้องคํานึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนหรือผู้ใช้บริการ ความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้บริการ การประหยัดค่าโดยสาร และการแบ่งปันผลประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม” นั้น

รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักจะหมดอายุสัมปทานในปี 2572 และตกเป็นสมบัติของ กทม. โดยคนกทม.เป็นผู้จ่ายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักผ่านค่าโดยสารตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี (2542-2572) เมื่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักตกเป็นสมบัติกทม. ค่าโดยสารหลังปี 2572 หลังหมดสัญญาสัมปทานแล้วจะไม่มีต้นทุนค่าโครงสร้างระบบราง จะเหลือเพียงค่าใช้จ่ายการเดินรถ และค่าบำรุงรักษา เมื่อพิจารณาจากงบการเงินของบริษัทบีทีเอส พบว่าระหว่างปี 2557-2562 ต้นทุนการเดินรถเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 10-16 บาทต่อเที่ยว และในปี 2562 ที่การเดินรถรวมส่วนต่อขยายที่ (1 ) และ (2) มีต้นทุนเพียง 15.70 บาทเท่านั้น (เอกสารแนบที่ 2)

นอกจากค่าโดยสารจะถูกลงแล้ว กทม.ยังจะได้รับรายได้ในการเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ ค่าโฆษณา และ ค่าเช่าการเชื่อมต่อกับพื้นที่เอกชนที่เป็นรายได้ต่อปีอย่างน้อย 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ของ กทม. ในการพัฒนาเมืองกรุงเทพด้านขนส่งสาธารณะให้มีราคาถูกลงทั้งระบบได้ ดังนั้น ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวและส่วนต่อขยาย (1)+(2) จะมีราคาถูกลงกว่า 65 บาทตลอดสาย และ กทม.ยังมีรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์และโฆษณาของกิจการรถไฟฟ้าตลอด 30 ปี ไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท โดยคน กทม.ไม่ต้องแบกรับภาระค่าโดยสารแพงถึง 65 บาท อย่างแน่นอน

การที่คณะกรรมการเจรจาต่อรองกับผู้รับสัมปทาน และให้ขยายเวลาสัมปทานไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท ย่อมขัดต่อคำสั่งคสช.ที่ 3/2562 ในข้อ 3 วรรคสี่ระบุว่า “ที่ต้องคํานึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนหรือผู้ใช้บริการ ความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้บริการ การประหยัดค่าโดยสาร และการแบ่งปันผลประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม”

กรณีการนำหนี้การเดินรถ และค่าก่อสร้างระบบรางในส่วนต่อขยาย (2) ที่ไม่ใช่สมบัติของ กทม. แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นสมบัติของ รฟม.กระทรวงคมนาคม ทั้งยังเป็นเส้นทางการเดินรถจากปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งอยู่นอกเขตการรับผิดชอบของ กทม.อีกด้วยนั้นมาบีบให้ผู้ว่าฯกทม.ต้องต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท เพื่อแลกกับการใช้หนี้ส่วนต่อขยาย (2) ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินของ กทม.นั้น จึงขาดความเป็นธรรมอย่างยิ่ง

รัฐบาลย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการก่อสร้างส่วนต่อขยาย (2) นั้น มีการประเมินผลแล้วว่าไม่คุ้มค่าเชิงธุรกิจ แม้จะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถช่วยให้ประชาชนจากปทุมธานี และสมุทรปราการ เดินทางเข้ามาใน กทม.ได้สะดวก แต่ค่าใช้จ่ายทั้งการเดินรถ และค่าก่อสร้างส่วนต่อขยาย (2) ก็ควรเป็นภาระของรัฐบาล และ/หรือกระทรวงคมนาคม ไม่ใช่ภาระของคน กทม.ที่ต้องแบกรับหนี้ก้อนนี้โดยแลกกับการที่คน กทม.ต้องจ่ายค่าโดยสารแพงถึง 65 บาทตลอดสายไปอีก 30 ปี

ดิฉันเห็นว่า หนี้ค่าเดินรถส่วนต่อขยาย (2) จำนวน 40,000 ล้านบาท รัฐบาลและ/หรือ รฟม.กระทรวงคมนาคมควรรับผิดชอบจ่ายให้บีทีเอสเพื่อยุติการฟ้องร้องระหว่างบีทีเอสและ กทม. ทั้งนี้ เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขที่จะบีบบังคับผู้ว่าฯ กทม.ให้สมยอมรับผิดชอบขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักไปอีก 30 ปี เพื่อแก้ปัญหาหนี้ให้กับ รฟม.และรัฐบาล

ดิฉันจึงขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกข้อเจรจาระหว่างคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 และบริษัท บีทีเอส ซึ่งข้อตกลงขัดต่อสาระหลักในข้อ 3 วรรคสี่ และขอให้รัฐบาลยุติการบีบบังคับให้ กทม.ต้องขยายสัญญาสัมปทานไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท

ดิฉันได้ส่งสำเนาหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียน พล.อ อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.กระทรวงมหาดไทย และ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ด้วยแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น