ส.ส.ป้ายแดง พท. เครื่องร้อน ขอให้นายกฯยุบสภา แม้เข้ามาทำงานได้ 5 วัน แต่ไม่หวงตำแหน่ง ทวงสำนึกงบค่าอาหาร ส.ส. 861 บาท แต่เด็กนักเรียนได้แค่ 21 บาท
วันนี้ (2 มิ.ย.) นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส. กทม. เขตหลักสี่-จตุจักร พรรคเพื่อไทย อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ว่า ตนเองรอคอยวันนี้ที่จะเข้ามาในสภาผู้แทนราษฎรถึง 3 ปี แต่ก็ได้ติดตามข่าวสารมาตลอด ซึ่งวันนี้ประเทศเราต้องเผชิญวิกฤตอย่างแสนสาหัส เพราะหนี้สาธารณะคงค้าง 10 ล้านล้านบาท รัฐบาลกู้หนี้แล้วกู้หนี้อีก, หนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงที่สุดในรอบ 18 ปี การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าการประมาณการณ์หลายปีติดต่อกัน และคิดว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายปี
แต่ในทุกวิกฤตมันมีโอกาส ถ้าเรามีการบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมที่ดี เช่น การใช้งบประมาณต้องใช้อย่างคุ้มค่า, รักษาทรัพยากรที่มีค่าและสำคัญที่สุด และต้องมีผู้นำที่มีวุฒิภาวะที่ดี เพื่อที่จะนำพาประเทศชาติให้รอดพ้น แต่ตนไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลย โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจถดถอย การบริหารและจัดสรรงบประมาณในวิธีคิดแบบเดิมๆ และถ้าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ผ่านเข้าไปก็ต้องใช้วิธีการเดิมๆ ตามวิสัยทัศน์เดิมๆ ของรัฐบาลปรับและจัดสรรงบ
ยกตัวอย่างกระทรวงศึกษาธิการ ปีนี้ถูกตัดลดไปประมาณ 4,500 ล้านบาทจากปีที่แล้ว แม้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา เด็กนักเรียนต้องเรียนออนไลน์ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเขาจะเข้าเรียนในห้องเรียนปกติ ดังนั้น เราต้องใช้โอกาสนี้อัดฉีดงบประมาณการศึกษาและสร้างคุณภาพของเด็กไทย โรงเรียนและสถานศึกษาต้องเป็นที่พึ่งพิงของนักเรียน เพื่อลดภาระของผู้ปกครอง
งบประมาณกระทรวงกลาโหม ลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 2% แต่งบประมาณยังสูงถึง 1.97 แสนล้านบาท ในขณะที่ประชาชนกำลังยากลำบาก แต่เรากลับใช้งบประมาณจำนวนมากกับความมั่นคง เป็นงบที่ฟุ่มเฟือยและตรวจสอบไม่ได้
งบประมาณรัฐสภา ครั้งแรกที่ตัวเองเดินเข้ามาในสภาต้องตกใจกับความโอ่อ่าของสถานที่ และงบประมาณปีนี้ 8,088 ล้านบาท เราเป็นคนของประชาชน ประชาชนให้เกียรติ ให้ศักดิ์ศรี ให้ตำแหน่ง และให้เงินเดือนเรามา เราต้องหันมาดูตัวเอง ดูสำนึกจากตัวเองก่อนดูสำนึกจากคนอื่น งบค่าอาหารของ ส.ส. 861 บาทต่อหัวแบบเหมาจ่ายแม้ว่าจะลาหรือไม่มาทำงาน เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของประชาชน 330 บาท งบอาหารกลางวันเด็ก 21 บาท เราเป็นผู้แทนประชาชนต้องพึงสังวรณ์และละอายใจ
“ประชาชนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ถ้าประชาชนไม่รอด ประเทศก็ไม่รอด...ไม่ว่ารัฐบาลจะพูดยังไง จะบอกว่าการแก้ปัญหาโควิดติดอันดับโลก ผมไม่ได้ใส่ร้ายและไม่โกหก ผมเป็นคนนึงที่อยู่กับประชาชนในช่วงโควิด ถ้าพึ่งพาแต่ภาครัฐอย่างเดียว ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนช่วยกันเอง ไม่อย่างนั้นประเทศนี้ล้มเหลวไปแล้ว”
นายสุรชาติ กล่าวว่า การใช้งบประมาณต่างๆ ไม่ได้ตอบสนองความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ปัญหาในช่วงวิกฤต ภาวะผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ ตนไม่มีอคติกับนายกฯ ท่านเป็นคนดี ตนเชื่อ แต่ความเป็นคนดีกับเป็นคนที่เหมาะสมมันแตกต่างกัน และทัศนคติที่ท่านแสดงออกหลายๆ ครั้งสะท้อนให้เห็นว่าท่านมีทัศนคติที่มองคนอื่นเป็นศัตรูและไม่รับฟังประชาชน
“รัฐบาลใดก็แล้วแต่ที่เรียกร้องหาสำนึกจากประชาชน ในขณะที่รัฐบาลนั้นๆยังไม่สามารถให้โอกาสประชาชนได้มีโอกาสรักษาชีวิตและปากท้องได้อย่างดี การเรียกร้องหาสำนึกจากประชาชนของรับบาล ถือเป็นการพูดที่ไร้สำนึกของผู้นำและรัฐบาล ท่านนายกฯ มีทางเลือก 2 ท่าน แม้ผมเพิ่งเข้าสภามาวันที่ 5 ผมไม่หวงตำแหน่ง ขอให้ท่านยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ถ้าจะอยู่ต่อ ผมกราบขอร้องให้ท่านปรับทัศนคติในการบริหารและสื่อสารกับประชาชน”