ชกอย่างไรเปิดหน้าให้คู่ต่อสู้! “ทักษิณ” เล่าเรื่องรัฐประหาร เตือนระวังดาบนั้นคืนสนอง เจอโทษประหารชีวิต “นักเขียนซีไรต์” ยกคำพูด “เสนาะ” ตอกย้ำ ดักคออย่าให้ลูกนิรโทษอีก “แรมโบ้” สวน ไม่พูดถึงตัวเองโกง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 พ.ค.) แฟนเพจเฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่ความเห็นของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ TonyWoodsome อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีทุจริตอยู่ต่างประเทศ กล่าวในรายการ CareTalk X Clubhouse หัวข้อ “เปิดใจที่นี่ เบื้องหลังรัฐประหารที่ไม่เคยเล่า” เมื่อวันอังคารที่ 24 พ.ค. 65 เวลา 20.00 น.เป็นต้นไป มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า
“...พล.อ.วินัย (พ่อสกลธี) เอากำลังมาบุกบ้านผม ผมโทร.หาแล้วบอกว่า ถ้าบุกก็มียิงกันนะ วินัยเลยสั่งยกเลิก...”
วันที่เขารัฐประหาร 19 กันยาผมนะ คุณรู้ไหม
“สิ่งที่ผมห่วงที่สุด คือ คุณหญิงอ้อกับลูกๆ”
คุณหญิงอ้อกับลูกๆผมตอนนั้นยังอยู่ไทย คุณหญิงอ้อพาลูกๆ ไปหลบจนทหารเขาเอากำลังไปบุกบ้านผม พล.อ.วินัย พ่อสกลธีนี่แหล่ะเอากำลังมาบุกบ้านผม พวกนี้เป็นพวกที่ผมตั้งมาทั้งนั้น พวก ตท.รุ่น 6 สุดท้ายผมตั้งมาเพื่อมารุมกระทืบผม
วันนั้นผมโทร.หา พล.อ.วินัย ว่า ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย จะทำการค้นบ้านผมได้ยังไง ถ้าบุกเข้ามาก็มียิงกันนะ เพราะในบ้านผมก็มีทหารอยู่เหมือนกัน พล.อ.วินัย เลยสั่งยกเลิกบุกบ้านผม
“...ผมขอเตือนว่า ระวังดาบนั้นคืนสนอง ใครรัฐประหารเจอโทษประหารชีวิตหมดนะ...”
ผมเชื่อว่า สักวันหนึ่ง จะเป็นวันที่มีรัฐธรรมนูญของเราเอง ซึ่งตามหลักกฎหมายยังไงโทษย้อนหลังไม่ได้ แต่รัฐบาลนี้กลับใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเล่นงานผม แต่ผมขอเตือนนะว่า
“ระวังดาบนั้นคืนสนอง ใครรัฐประหารเจอโทษประหารชีวิตหมดนะ”
หลักกฎหมายทั่วไปที่เป็นสากล เขาไม่มีย้อนหลังที่เป็นโทษ มีแต่ย้อนหลังที่เป็นคุณ แต่ประเทศไทยทำกลับกันแบบนี้ ระวังตัวไว้เถอะ ดาบนั้นได้คืนสนองแน่ ผมเตือนไว้เลย
ขณะเดียวกัน วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตอบโต้ นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “วิธีป้องกันรัฐประหาร คือ การยกเลิกการนิรโทษกรรม หากคนทำรัฐประหาร ได้รับโทษตามกฎหมายอย่างเหมาะสมก็จะไม่กล้า...” ว่า
“โทษคนอื่นรอบด้าน ยกเว้นตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าได้ทำอะไรไว้
คำพูดของคุณเสนาะนั้น บอกว่า มีการโกงกินชาติอย่างมโหฬาร และโกงกินมาก่อนที่คุณเสนาะจะพูด (ถ้าได้มาอีก......) ดังนั้นรัฐประหารจึงเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคคุณทักษิณ ใครเป็นหัวหน้ารัฐประหารครั้งนั้น คนที่ตาไม่บอดก็จะเห็น
รัฐประหารหรือเรียกอีกอย่างว่าเผด็จการรัฐสภานั้น ไม่ใช่ด้วยอาวุธใดๆ แต่ด้วยเงินและตำแหน่งหน้าที่ จนกลายเป็นเครือข่ายคอร์รัปชันทั่วประเทศ เมื่อถูกจับได้ไล่ทันก็จะออก “พ.ร.บ.นิรโทษรรม” ให้ตนและพวกพ้อง จนผู้คนทนเห็นความชั่วร้ายและหายนะของประเทศไม่ไหวจึงออกมาประท้วงและกลายเป็นม็อบที่มีคนมหาศาล
จากนั้นก็ตามมาด้วยการรัฐประหารโดยทหาร (ดีไม่ดีไปว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง)
ใครจะด่าใคร ฝ่ายไหนก็ด่ากันไป แต่ความจริงก็คือ ไม่ใช่จู่ๆ ทหารจะออกมาทำรัฐประหารได้ง่ายๆ แถมมีประชาชนจำนวนมากสนับสนุน!
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ หรือบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดเป็นห่วงโซ่แห่งเหตุและผลทั้งนั้น
#อย่าออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านลูกสาวก็แล้วกัน!”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ กล่าวในรายการ CareTalk X Clubhouse หัวข้อ “เปิดใจที่นี่ เบื้องหลังรัฐประหารที่ไม่เคยเล่า” เช่นกัน ว่า
นายทักษิณ จำได้ทุกเรื่อง แต่ทำไมถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยทำร้ายประเทศไทยไว้อย่างไร และสาเหตุใดถึงเกิดการรัฐประหารในปี 2549 ยุคนั้นรัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน มากมาย โครงการต่างๆ ของรัฐบาลก็ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ต่อครอบครัว และ พวกพ้อง เกิดความเสียหายในวงกว้าง สุดท้ายทหารก็ต้องทำรัฐประหาร และตัวนายทักษิณเอง ก็มีคดีติดตัวล้วนแล้วแต่เป็นคดีทุจริตคอร์รัปชันทั้งสิ้น
“เวลาพูดเรื่องรัฐประหาร ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่นายทักษิณ จะกล้าพูดถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า ตัวเองโดนรัฐประหารเป็นเพราะอะไร ซึ่งการเปิดใจของนายทักษิณที่บอกว่าไม่เคยพูด ก็ควรพูดให้หมด ถึงสาเหตุที่ทหารต้องทำรัฐประหาร คนรุ่นใหม่ จะได้ทราบ ไม่ใช่เอาแต่ดีใส่ตัวโยนความชั่วใส่คนอื่น”
นายเสกสกล กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่นายทักษิณจะออกกฎหมาย หากมีอำนาจในอนาคต เรื่องการรัฐประหาร อันนี้ก็เป็นแผ่นเสียงตกร่อง เพราะนายทักษิณไม่ทราบหรือว่าการรัฐประหาร ถ้าทำสำเร็จกลายเป็น รัฏฐาธิปัตย์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่าไม่มีความผิด แต่ถ้ารัฐประหารแล้วแพ้หรือไม่สำเร็จก็กลายเป็นกบฏมีโทษประหารชีวิตอยู่แล้ว
“จะออกมาข่มขู่ เรื่องโทษประหารชีวิต วันนี้นายทักษิณ เอาตัวเองให้รอดเสียก่อน เพราะมีคดีความติดตัวเต็มไปหมด ที่พยายามอยู่ทุกวันนี้ก็พยายามล้างผิดให้ตัวเองใช่หรือไม่ จนถึงกับต้องเอาชีวิตของลูกสาวตัวเอง ออกมาเป็นเดิมพันเล่นการเมือง เพื่อพาตัวเองกลับประเทศ เป็นพ่อประเภทไหนก็ไม่ทราบ กล้าแม้แต่จะเอาชีวิตของลูกสาวตัวเองมาเป็นเดิมพันในวังวนการเมือง เพื่อให้ตัวเองนได้ประโยชน์ รักลูกไม่จริงหวังทำลายอนาคตลูกมากกว่า ใช้ลูกเป็นเครื่องมือ รักลูกแบบไหนกัน นายทักษิณเองก็รักประชาชน รักประเทศชาติไม่จริง มีแต่พูดย้อนอดีตสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง
ที่พร่ำเพ้ออยู่รายวันเพราะแก่ลงไปเรื่อยๆสติสตังคงเลอะเลือนลงไปทุกวัน เห็นพร่ำเพ้อแต่เรื่องในอดีตที่ไม่มีมูลความจริงสักเรื่อง คนแก่ที่ชอบพูดเรื่องราวในอดีตอย่างนายทักษิณมีคนเขากล่าวว่า สมองจะกลับไปเป็นเด็กอนุบาล พออายุมากขึ้นเรื่อยๆร่างกายแก่ลงไปทุกๆ วัน ก็เริ่มเล่นอุจจาระตัวเองแล้วแหละครับ” นายเสกสกล กล่าว.(จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ ทำไมนักการเมือง บางจำพวก จึงชอบโทษการ “รัฐประหาร” ซึ่งพักหลังต้องบอกว่า เป็น “ปลายเหตุ” ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านั้น อาจเนื่องมาจากเผด็จการอำนาจนิยม ซึ่งก็ต้องแยกแยะไปแต่ละครั้งตามเหตุและผล
แต่พักหลัง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า การรัฐประหารเกิดขึ้นยากมาก เพราะโลกไม่ยอมรับ ถ้าระบบรัฐสภาไม่เปิดช่อง หรือ แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองได้ ทุกอย่างก็จบ
แต่ว่า คนที่ทำให้ประเทศต้องเจอกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองจนถึง “ทางตัน” และสุดท้ายนำมาสู่การรัฐประหารต่างหากที่สมควรประณาม เพราะนั่นคือ ต้นเหตุ คนไทยต้องไม่หลงประเด็น
อย่างการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา เห็นได้ชัดว่า สาเหตุการรัฐประหาร เกิดจากประชาชนจับได้ว่า รัฐบาลหลงเหลิงอำนาจ มีการทุจริตเชิงนโยบาย หรือ ที่เรียกว่า ออกนโยบาย หรือแม้แต่กฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง คนในครอบครัว และพวกพ้อง เมื่อประชาชนจำนวนมาก “ไม่โง่” และเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ก็ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่นายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน ผู้กุมอำนาจรัฐที่หลงเหลิงในอำนาจก็ไม่ยอมจำนนง่ายๆ หรือ ใช้กลไกอำนาจรัฐเพื่อต่อสู้ ยื้อที่จะอยู่ในอำนาจ หรือ สลายการชุมนุมของประชาชน
อย่าคิด และลืมเป็นอันขาด ว่า การสลายการชุมนุม มีแต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็มีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเหมือนกัน ใครที่เกิดทันช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมประท้วง ก็จะเข้าใจดี
ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น มีการจัดตั้งมวลชนของตัวเองขึ้นมา “เสื้ออะไร” ก็รู้กันอยู่แล้ว คงไม่ต้องตอกย้ำอีก เพื่อเป็นพลังต่อรองและปะทะกับมวลชนอีกฝ่าย จนหลายครั้งมีการใช้อาวุธสงครามต่อกัน นั่นก็เท่ากับส่งเสริมให้คนไทยฆ่ากันเอง เพียงเพราะต้องการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ตัวเอง
ที่ผ่านมา นักการเมืองไทยหวังเอาชนะคะคานกัน จนถึงขั้นพร้อมนำมวลชนเข้าห้ำหั่นกัน เพียงเพราะมีใบสั่งจากบางคน ไม่ให้ยอมแพ้ จนครั้งล่าสุด ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยึดอำนาจ ก็มีการถามทุกฝ่าย ขณะนั้นมี 3 ฝ่าย คือ แกนนำม็อบ กปปส. แกนนำม็อบเสื้อแดง และ แกนนำพรรคเพื่อไทย ว่า จะตกลงกันได้หรือไม่ ถ้าจำไม่ผิดให้เวลาตกลงกันพอสมควร
คำตอบคือ ไม่! เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับข้อเสนอ ของกันและกัน จนนำมาสู่การตัดสินใจยุติปัญหา ซึ่งจ่อจะเกิดสงครามกลางเมือง (อ้างข้อมูลแกนนำเสื้อแดงกลับใจ) ถ้าไม่ได้ “ผมปฏิวัติ” นี่คือ ที่มีข่าวเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทุกสำนัก
สะท้อนให้เห็นอะไร สะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองหวังแต่ “อำนาจ” และต้องการมีอำนาจ เพื่อเอาอำนาจไปจัดสรรผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ครอบครัว และพวกพ้อง ส่วนประชาชน เป็นแค่ข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ และที่น่าเศร้าไปกว่านั้น คือ ความพยายามที่จะสร้าง “ทายาท” ขึ้นมามีอำนาจ เพื่อตัวเองจะได้ชี้นำอยู่เบื้องหลัง
นี่เอง ทำให้มีปัญหาทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย ปัญหาการผูกขาดอำนาจรัฐ ปัญหาเผด็จการรัฐสภา ปัญหาการใช้เงิน และตำแหน่งหน้าที่ล่อใจให้คนจำนวนมาก รวมทั้งกลไกอำนาจรัฐ มาอยู่ใต้ฐานอำนาจ เพื่อที่จะทำอะไรก็ได้ แต่เดชะบุญที่พวกเขาทำไม่สำเร็จ และถูกรัฐประหารไปก่อน
นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด เพราะอย่างน้อย มันอยู่ในสำนวนคดีทุจริตจำนวนมาก อยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรียบร้อย แล้วยังจะมาพูดโกหกให้ใครเชื่ออีก ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน!?