xs
xsm
sm
md
lg

“พี่หลวงกาโตะ” งานจะงอกว่าเข้าข่ายยักยอกทรัพย์? ปมเบิกเงินวัดไปปิดข่าวฉาวสีกา ** “พิเชษฐ” เปิดเกมชน “สันติ” ขู่นำ ส.ส.กลุ่ม 16 โหวตไม่ไว้วางใจ หากมีการเซ็นโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “พี่หลวงกาโตะ” งานจะงอกว่าเข้าข่ายยักยอกทรัพย์? ปมเบิกเงินวัดไปปิดข่าวฉาวสีกา

กรณี “อดีตพระกาโตะ” หรือ พงศกร จันทร์แก้ว ส่อว่าจะโดนข้อหามากกว่าโป๊ะแตกเรื่องกับสีกา จากปมที่เบิกเงินวัดจำนวน 6 แสนบาท ไปจัดแจงใช้จ่ายเพื่อปิดข่าวอื้อฉาว

เรื่องนี้ถูกเปิดออกมาต่อเนื่องว่า ก่อนที่อดีตพระนักเทศน์ชื่อดังขวัญใจวัยรุ่นจะลาสิกขา ตัวเองในฐานะอดีตรักษาการเจ้าอาวาส

ได้ให้เจ้าหน้าที่วัดเพ็ญญาติ จ.นครศรีธรรมราช ไปเบิกเงินวัดจำนวน 6 แสนบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายให้กับคนกลาง เพื่อนำไปจ่ายให้กับคนที่เกี่ยวข้อง

พลันที่ข่าวปูด พี่หลวงกาโตะ และกรรมการวัด ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ไม่เจตนาจะยักยอกทรัพย์ ยืนยันว่าจะคืนเงินให้ทันที

กรรมการวัด บอกว่า อดีตพระกาโตะ ติดต่อมาหาให้ถอนเงินออกจากบัญชีจะนำไปใช้ส่วนตัว และจะคืนให้ ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เข้าใจว่า คงมีความจำเป็น ซึ่งเงินจำนวน 600,000 บาท ก็เป็นเงินที่อดีตพระหามาเองเพื่อเอามาทำประโยชน์กับวัด

ว่ากันว่า ท่ามกลางการเกาะติดของสื่อว่า “พี่หลวง” จะเอาเงินมาคืนวัดหรือไม่ ปรากฏว่า ข่าวไหลไปเทมา ตอนแรกระบุไม่มีวี่แววว่าวัดจะได้เงินคืน แต่สุดท้ายอดีตพระ “สับขาหลอก” ไปคืนเงินกันที่อีกวัด พร้อมจดหมายลงบันทึกมีพระผู้ใหญ่เป็นพยาน ระบุวันนี้ “ทิดกาโตะ” หรือ พงศกร จันทร์แก้ว ได้นำเงินมาคืนที่ วัดมังคลาราม เป็นเงินจำนวน 6 แสนบาท เรียบร้อย

ในแง่ของกรรมการวัด บอกว่า ทุกอย่างจบลงด้วยดี ส่วนในทางกฎหมาย ใครจะทำอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ทางวัดไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว คืนก็แปลว่า จบ

ถามว่า จะจบจริงๆ หรือ? เพราะในส่วนของตำรวจเพิ่งจะเริ่มต้น โดย “พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” ผบก.ปปป. ระบุว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีนี้อย่างละเอียด หากผลการสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า การกระทำของอดีตพระกาโตะ ที่ขณะนั้นอยู่ในฐานะรักษาการเจ้าวาสของวัด มีการเบิกเงินวัดเพื่อไปจ่ายให้คนกลาง เพื่อปกปิดข่าวของตนเองจริง จะถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ขณะที่ ผู้รู้ทางกฎหมายก็ออกมาย้ำว่า แม้จะมีการคืนเงินที่เบิกไปแล้ว แต่ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการกระทำความผิดสำเร็จแล้ว การเอาไปใช้ส่วนตัว อาจจะโดนข้อหายักยอกทรัพย์ของวัดได้ โทษจำคุก 3 ปี แต่ถ้าเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์และยักยอกทรัพย์มีโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าปี ถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาท ถึง 400,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ยอมความไม่ได้

เรียกว่า “พี่หลวง” งานกำลังจะงอกเข้าให้ ด้วยฐานเข้าข่ายยักยอกทรัพย์วัดหรือไม่ งานนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป





** “พิเชษฐ” เปิดเกมชน “สันติ” ขู่นำ ส.ส.กลุ่ม 16 โหวตไม่ไว้วางใจ หากมีการเซ็นโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี

โหมโรงศึกซักฟอกที่ “พิเชษฐ สถิรชวาล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หัวหน้ากลุ่ม 16 ที่ทิ้งบอมบ์ใส่รัฐบาล เรื่องความไม่ชอบมาพากลในการประมูล โครงการท่อส่งน้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ อีอีซี มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน สัมปทาน 30 ปี

โครงการนี้ผ่านขั้นตอนการเสนอราคาและเปิดซองประมูลไปแล้ว โดยบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ชนะ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ “อีสท์วอเตอร์” รอเพียงการเซ็นสัญญาเท่านั้น ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ คือ “กรมธนารักษ์” กระทรวงการคลัง ที่อยู่ในกำกับดูแลของ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

“พิเชษฐ” บอกว่า บริษัทที่ชนะการประมูลไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และไม่มีพื้นฐาน ประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้ อีกทั้งคณะกรรมการที่เข้าร่วมประชุมในวันนั้นก็ไม่ครบจำนวน และจะเอาเรื่องนี้ไปร่วมอภิปรายกับฝ่ายค้าน หากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบชี้แจงไม่ได้ หรือไม่ทบทวนเพื่อเปิดประมูลใหม่ ก็พร้อมที่จะพาส.ส.กลุ่ม 16 ที่มีบรรดาพรรคเล็กอยู่ในกลุ่ม โหวตไม่ไว้วางใจ

หลัง “พิเชษฐ” ออกมาร้องท้าทายเรื่องนี้... เพื่อความไม่ประมาท“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงส่งสัญญาณให้กระทรวงการคลัง สั่งกรมธนารักษ์ เลื่อนการเซ็นสัญญาออกไปก่อน เพื่อทำการตรวจสอบให้รอบคอบ หรือรอให้พ้นช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปก่อน

ขณะที่ “สันติ พร้อมพัฒน์” ออกมาชี้แจงว่า กรมธนารักษ์ ได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน และรัฐบาลก็ไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท อีสวอเตอร์ เพราะการประปาส่วนภูมิภาคถือหุ้นอยู่ 40% ดังนั้นจึงเป็นบริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ การแข่งขันราคาก็ชัดเจนว่า บริษัท ที่แพ้ประมูล เสนอให้ผลประโยชน์กับรัฐในระยะเวลา 30 ปี ประมาณ 24,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ชนะประมูลให้ผลประโยชน์กับรัฐ 25,600 ล้านบาท ... แล้วที่กรมธนารักษ์ต้องเลื่อนการเซ็นสัญญา ก็เพราะเรื่องนี้ถูกโยงมาเป็นประเด็นการเมือง จึงต้องกลับไปตรวจสอบดูอีกครั้งหนึ่งเพื่อความรอบคอบ

ล่าสุด “พิเชษฐ” ออกมาบอกว่า พอใจในระดับหนึ่งที่มีการระงับการเซ็นสัญญาออกไปก่อน แต่ที่ต้องการคืออยากให้ทบทวนวิธีประมูลคัดเลือก และอยากให้เรียกบริษัทใหญ่ๆ ทุกแห่งมาร่วมประกวดราคาด้วย...แต่ถ้ากรมธนารักษ์สรุปว่า ยังจะเซ็นสัญญาโครงการกับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ตน และ ส.ส.ในกลุ่มก็พร้อมโหวตไม่ไว้วางใจ “สันติ พร้อมพัฒน์” ที่รับผิดชอบโครงการนี้

ส่วนที่มีข่าวว่า คณะกรรมการบริหารพรรคจะมีการพิจารณาลงโทษตน ที่ไปสุมหัวกับฝ่ายค้านนั้น ยินดีให้ลงโทษ และพร้อมจะออกไปอยู่กับพรรคเล็ก ...แต่ดูแล้วพรรคก็ไม่ได้มีข้อหามเรื่องไปกินข้าวกับฝ่ายค้าน

มีการมองว่า หากอภิปรายเรื่องนี้ แล้วตามด้วยดาบสอง ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.เอาผิดต่อ ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องถูกสอบ ก็จะมี... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล, “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลัง, “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง, คณะกรรมการที่ลงมติรับรองให้ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง เป็นผู้ชนะประมูล และ อธิบดีกรมธนารักษ์ ที่ทำหน้าที่ในช่วงการประมูล

การออกมาเคลื่อนไหวของ “พิเชษฐ” และกลุ่มพรรคเล็กในยามนี้ ชัดเจนว่าเป็นไปเพื่อการต่อรองทางการเมือง ที่นอกจากเรื่อง “กล้วย” แล้ว ก็อาจจะเป็นเรื่องงบประมาณในโครงการต่างๆ ตามร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 66 หรือการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ในเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคเล็กอยากให้ใช้ สูตร 500 หาร... แม้กระทั้งการต่อรองเรื่องปรับ ครม.ที่ตอนนี้ว่างอยู่ 2 เก้าอี้ โดยมีพรรคเศรษฐกิจไทย รอรับส้มหล่นอยู่

ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ รับหน้าเสื่อในการดูแลพรรคเล็ก ก่อนที่ “สันติ พร้อมพัฒน์” จะมานั่งเลขาพรรคแทน และให้ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรค มาดูแลกลุ่มพรรคเล็ก ซึ่งการดูแลอาจจะขาดตกบกพร่อง จึงต้องออกมาแสดงพลังให้เห็น ว่า นอกจากพรรคเล็กแล้ว ยังมี กลุ่ม “ร.อ.ธรรมนัส” หรือ พรรคเศรษฐกิจไทย เป็นแนวร่วม จึงมีตัวเลข “30 ส.ส.” มาใช้ในการต่อรองเกมสภา

หาก 30 เสียงนี้ โหวตไปในทิศทางเดียวกับฝ่ายค้าน “ลุงตู่” ต้องมีอันตกเก้าอี้นายกฯแน่

ต้องจับตาว่า การออกมากดดันครั้งนี้ จะได้รับการตอบสนองอย่างไรจากฝ่ายรัฐบาล และหากไม่ได้รับการตอบสนอง กลุ่มนี้จะหันไปร่วมมือกับฝ่ายค้านตามที่ประกาศไว้หรือไม่








กำลังโหลดความคิดเห็น