เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงสัปดาห์นี้ ได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่า เป็นการมาเยี่ยมเยียนประชาชนระดับชาวบ้านร้านตลาด เป็นการสอบถามสารทุกข์สุกดิบ รับฟังเสียงสะท้อนปัญหาต่างๆ โดยตรง เริ่มตั้งแต่การเดินมาพบปะกับชาวบ้าน และพ่อค้าแม่ค้าในตลาดทรัพย์สินพัฒนา หรือ ตลาดสะพานขาว จากนั้นก็เดินมาเยี่ยมเยียนพบปะกับพี่น้องที่คลองโอ่งอ่าง และล่าสุด ก็เพิ่งจะออกมาเดินตลาดนางเลิ้ง และยังมีรายงานอีกว่า เขายังมีคิวที่จะเดินสายในพื้นที่อื่นๆ ตามมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้
การออกจากทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ จะเป็นการออกมาแบบที่ไม่มีกำหนดการล่วงหน้า หรือแจ้งให้ใครทราบ และส่วนใหญ่พื้นที่ที่เขาไปพบปะชาวบ้านก็ล้วนแต่เป็นพื้นที่อยู่ไม่ไกลกับทำเนียบรัฐบาลมากนัก แต่อย่างไรก็ดี สำหรับ นายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปทางไหนก็ย่อมเป็นข่าว ย่อมต้องมีคนสนใจ มีสื่อติดตามกันเป็นพรวน ดังที่ปรากฏจากภาพข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาลงพื้นที่ทุกครั้งที่ผ่านมา
แน่นอนว่า หลายคนฟันธงว่า นี่คือ “การเมือง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีเจตนาเพื่อ “หาเสียง” เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พอดี โดยฝ่ายการเมืองขั้วตรงข้ามออกมา “ดักคอ” ทันที ว่า มีเจตนาหาเสียงให้กับผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบางคน โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงคำพูดบางอย่างที่ส่อเป็นนัยชี้นำ ให้เลือกผู้สมัครดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลา 16.10 น. วันที่ 5 เมษายน ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล มาที่ลานจอดรถตึกบัญชาการ 1 เพื่อดูจุดติดตั้งหัวชาร์จให้รถยนต์ไฟฟ้า EV โดยไม่ได้แจ้งสื่อล่วงหน้า จากนั้นนายกฯได้เดินข้ามสะพานคลองผดุงกรุงเกษม ไปยังบริเวณร้านค้า ย่านวัดโสมนัสราชวรวิหาร ทักทายและให้กำลังใจเจ้าของร้านขายกรอบรูป ร้านขายจักรยาน โรงน้ำแข็ง และร้านกาแฟ รวมถึงพูดคุยกับเจ้าของโรงรับจำนำบริเวณแยกนางเลิ้งด้วย โดยผู้ประกอบการสะท้อนปัญหา เรื่องการค้าขายที่ซบเซาจากสถานการณ์โควิด ขอให้นายกฯเข้ามาช่วยเหลือด้วย โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้กำลังใจผู้ค้า และรับปากว่าจะช่วยเหลือให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ขอให้เข้าใจในช่วงสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรี สอบถามเด็กปั๊มเอสโซ่ ถึงราคาน้ำมันดีเซล ลิตรละเท่าไหร่ เด็กปั๊มตอบว่า ดีเซล 30 กว่าบาท แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 38 บาท ราคาจะลงอีกหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับตลาดโลก รัฐบาลก็พยายามแก้ไขอยู่
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า เป็นการเดินมาเพื่อรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า ถึงไม่เดินมาก็ได้ยินเสียงประชาชนอยู่แล้ว และคิดแทนประชาชนอยู่แล้วว่า ช่วงนี้ต้องมีความลำบากแน่นอน และอยากมาให้กำลังใจ ไม่ได้ไปหาเสียงอย่างที่เขาว่า ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร จะหาว่านายกฯ มาเดินหาเสียง ไม่ใช่ แต่นายกฯนั่งอยู่แต่ทำเนียบฯ คิดอะไรไม่ออก เอกสารก็เยอะ อะไรก็เยอะ ต้องปรึกษาหารือกันกับรัฐบาล และกระทรวงต่างๆ เมื่อมีปัญหาเข้ามาหลายเรื่องก็จะช่วยสะท้อน ซึ่งการแก้ก็ไม่ใช่แก้ได้ทันที อะไรที่ทำได้ก็ทำเลย แต่อันไหนยังแก้ไม่ได้ ก็ต้องรอเวลา ซึ่งวันนี้เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าแก้ไม่ดี ก็สุ่มเสี่ยงที่จะแย่ ในอนาคต ถ้าแก้ไม่ถูกจุด แต่ถ้าจะให้พอใจทั้งหมด 100% ก็ยาก วันนี้ก็ต้องดูต่างประเทศกันด้วยว่า เดือดร้อนเหมือนกันหรือไม่ ทุกประเทศเดือดร้อนกันหมด ทั้งโลก แต่เราก็จะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ก็หวังว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเจอสถานการณ์โควิด แล้วมาเจอการสู้รบอีกดอก ก็ลำบากเหมือนกัน แต่ไม่บ่นหรอก
ทั้งนี้ นายกฯ ย้ำว่า การเดินลงมาสำรวจและฟังชาวบ้าน ถือเป็นการให้กำลังใจประชาชน พร้อมเอามือตบที่อกซ้าย และพูดว่า กำลังใจเยอะ รอแต่สื่อพวกเรานี่แหละ ก่อนจะเดินทางกลับ โดยนายกรัฐมนตรีใช้เวลาประมาณ 35 นาที ในการเดินสำรวจพบปะประชาชนในเย็นวันนั้น
แน่นอนว่า แล้วแต่มุมมอง หรือแล้วแต่ว่าจะ “อยู่ฝ่ายไหน” พวกอวยพวกเชียร์ ก็มองอีกแบบ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ว่าไปอีกแบบ อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในมุมการเมืองก็ต้องบอกว่า เหมือนกับเป็นการ “ขยับเคลื่อนไหว” อีกครั้ง และยังเป็นช่วงจังหวะที่ต้อง “เร่งทำ” แล้ว และเชื่อว่าจะต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เมื่อได้จังหวะและโอกาส
ในทางการเมืองก็ต้องบอกว่า “ใช่เลย” นี่คือ การ “หาเสียง” ที่ผสมปนเปไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เชื่อว่าทุกคนก็ต้องทำ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลานี้ถือว่าอยู่ในช่วงมรสุมรุมเร้า “สถานะเริ่มไม่มั่นคง” ทุกอย่างเริ่มไม่ชัดเจน หรือ “ไม่ชัวร์” กว่าเดิม โดยเฉพาะอีกเดือนกว่าข้างหน้าเขาก็จะต้องเจอศึกหนัก นั่นคือ การเปิดสภาสมัยสามัญในกลางเดือนพฤษภาคม ที่จะต้องเจอกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมไปถึงแรงกดดันเข้ามาจากทุกทิศทาง เพื่อให้เขาพ้นจากตำแหน่งให้ได้ หรือไม่ก็กดดันให้ยุบสภา แม้ว่าเป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้ “ลาออก” มากกว่าก็ตาม
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ นาทีนี้ถือว่า ต้องหาทาง “เอาหลังพิงประชาชน” ให้มากที่สุด เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้ว่าจะมีคนไม่ชอบไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็ยังมี “แฟนคลับ” ที่เอาใจช่วยจำนวนมากเช่นเดียวกัน และการเดินตลาดเยี่ยมเยียนประชาชน พบปะ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแบบบ้านๆ งานนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เป็นการมองเห็นได้ว่าต้องการ ร่วมทุกข์ สุข รับรู้ถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน ในท่ามกลางวิกฤตครั้งใหญ่แบบนี้
นอกเหนือจากนี้ หากสังเกตจะเห็นว่ายังมีการขยับอย่างต่อเนื่อง เพราะในวันที่ 12 เมษายนนี้ จะมีการงาน “รดน้ำดำหัว” ในวันสงกรานต์ หรือ “ปีใหม่ไทย” โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปิดทำเนียบรัฐบาลให้บรรดา ส.ส.และ ส.ว.เข้ามาร่วมอย่างพร้อมหน้า ซึ่งอีกมุมหนึ่งก็เหมือนกับการกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดก่อนเปิดสภา ที่ต้องขอแรงมือสนับสนุนอีกด้วย
ดังนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องเร่งทำแต้ม ขอความเห็นใจจาก “กองหนุน” เพื่อให้รอดพ้นจากความไม่มั่นคงทางการเมืองที่กำลังรุมเร้าทุกทาง อย่างน้อยก็ต้องการประคองให้ถึงช่วงปลายปีนี้ให้ได้ จากนั้นถือว่าจะอย่างไรก็ได้แล้ว แต่หากให้ฟันธงถึงช่วงเวลานั้นก็ต้อง “ยุบสภา” เหมือนกับที่ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้กำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ !!