xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงไล่ล่า! “อัษฎางค์” เปิดหลักฐาน ย้อน “แม่ธนาธร” นี่หรือ กลั่นแกล้ง “ทอน” ปลุกลงชื่อปลดล็อกท้องถิ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “อัษฎางค์” เปิดหลักฐาน ย้อน “แม่ธนาธร” นี่หรือ กลั่นแกล้ง จากแฟ้ม
“อัษฎางค์” ยกหลักฐานซื้อที่ดินรับทราบแล้วว่า อาจถูกเพิกถอน เพราะผิดกฎหมาย ตบหน้า “แม่ธนาธร” อย่าอ้างกลั่นแกล้งทางการเมือง “ธนาธร” แฉรัฐราชการรวมศูนย์บีบผู้บริหารให้ “วิ่งเต้น” ปลุกลงชื่อ “ปลดล็อก”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 เม.ย.) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ตอนจ่ายเงินซื้อที่ ตนเองก็เซ็นยอมรับทราบว่า ได้ซื้อที่ดินในเขตป่าสงวน ที่อาจผิดกฎหมายและโดนเพิกถอน

ตอนนี้เรื่องเพิ่งจะมาแดง กลับโทษว่า เป็นเพราะลูกชายมาเล่นการเมือง ทั้งลูกชายและตนเองเลยถูกกลั่นแกล้ง

อัษฎางค์ ยมนาค จะพามาไล่เรียงว่า มีหลักฐานอ้างอิงอะไรบ้าง

1 เมษายน 2565 กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก. ของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นางสาวชนาพรรณ และ นายธนาธร เนื่องจากพบว่าเป็นที่ป่าไม้ถาวร ต่อมานางสมพรได้ออกมาตัดพ้อ โดยมีใจความว่า

“ฉันมีที่ดินผืนนี้มา 30 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง ลูกก็โดนยัดคดีร้ายแรงให้สารพัด

ภาพ “อัษฎางค์” ยกหลักฐานซื้อที่ดิน ที่แม่ธนาธรรับทราบแล้วว่า อาจถูกเพิกถอน เพราะผิดกฎหมาย ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเฟซบุ๊กนายอัษฎางค์ ยมนาค
ส่วนตัวฉันเองก็โดนร้องเรียนว่า รุกป่า กินป่า เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีใหญ่โต

ฉันยืนยันตรงนี้ว่า ที่ผืนนี้ ถึงจะซื้อมาถูกกฎหมายทุกประการ มีเอกสารสิทธิเรียบร้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งรัฐบอกว่าผิด จะเพิกถอน

ฉันไม่มีปัญหา แต่ต้องไปพิสูจน์ถูกผิดกันตามกฎหมาย ถ้าออกมาว่าเป็นป่าจริง ฉันยินดีคืนที่ให้ แต่อย่ามากล่าวหาว่าครอบครัวฉันโกงบ้านโกงเมืองเด็ดขาด”

แต่เมื่อย้อนไปดูบันทึกถ้อยคำตามที่สำนักข่าวอิศรา นำมาเผยแพร่ของ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ วันที่ 19 มิถุนายน 2540 มีเนื้อหาระบุว่า

“ตามที่ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายได้ยื่นขอจดทะเบียนขายที่ดินแปลงเครื่องหมายข้างบนนี้ ข้าพเจ้าได้ตรวจบริเวณที่ดินแปลงนี้จากระวางรูปถ่ายทางอากาศ หมายเลข 4836 // แผ่นที่ 104 ซึ่งในระวางฯ ระบุว่า

ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหมายเลข 85 และเจ้าหน้าที่แจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบแล้วว่า หลักฐาน น.ส.3 ก. ฉบับดังกล่าว อาจออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งต่อไปทางราชการอาจดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอน น.ส.3 ก. ได้

ซึ่งทำให้การซื้อขายที่ดินครั้งนี้เป็นโมฆะ

ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบและเข้าใจดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนขายที่ดินให้ข้าพเจ้าครั้งนี้ได้

หากเกิดการเสียหายใดๆ ขึ้นเกี่ยวกับการนี้ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด”

น.ส.3 คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี

ส.ป.ก.4-01 หรือที่ดินตราครุฑสีน้ำเงิน

ส.ป.ก.4-01 เป็นเอกสารที่ออกให้เจ้าของมีสิทธิในการทำ “เกษตรกรรม” บนพื้นที่ดินเท่านั้น ไม่สามารถซื้อ ขาย โอน หรือออกเป็นโฉนดในภายหลังได้ แต่สามารถแบ่งตกทอดเป็นมรดกสู่ทายาทต่อไปได้* และทายาทก็จะต้องทำเกษตรกรรมบนที่ดินนั้นเท่านั้น

สามารถให้ผู้อื่นเช่าเพื่อการเกษตรได้* ซึ่งหนังสือชนิดนี้เป็นหนังสือที่ออกให้กับผู้ที่มีฐานะยากจน ครอบครัวละไม่เกิน 50 ไร่ สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อการเกษตรได้ ไม่สามารถนำไปจำนองได้

ภาพ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ขณะเข้าตรวจสอบที่ดินนางสมพร อยู่ในเขตป่าสงวนฯหรือไม่ จากแฟ้ม
นส. 3 ก หรือที่ดินตราครุฑสีเขียว

น.ส.3 ก. ต่างจาก น.ส.3 ตรงที่ว่า มีภาพถ่ายทางอากาศ แต่สิทธิครอบครองมีความเท่าเทียมกัน

น.ส. 3 ก เป็นเอกสารที่แสดงสิทธิการครอบครองเพื่อทำประโยชน์ในพื้นที่ดินนั้นๆ ได้ ซึ่งจะมีระวางรูปถ่ายทางอากาศชัดเจนเหมือนกับโฉนด

โดยมีเงื่อนไขผู้ครอบครองจะต้องทำให้ที่ดินนั้นเกิดประโยชน์ขึ้น

น.ส.3 ก สามารถซื้อ ขาย โอน ให้กันได้

ส่วนมากจะพูดกันว่า ที่ดินมี “โฉนด” หรือ “มีโฉนด น.ส.3” ที่จริงแล้วมีความแตกต่างกัน ระหว่าง “โฉนด” และ น.ส.3

โฉนด หมายถึง “กรรมสิทธิ์” ผู้ที่มีชื่อในโฉนด คือเจ้าของ “กรรมสิทธิ์” ในที่ดินผืนนั้น ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ คือผู้ที่เป็นเจ้าของโดยชอบธรรม สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ตามใจชอบ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมายท้องถิ่น

ส่วนผู้ที่มีชื่อใน น.ส.3 คือ ผู้มี “สิทธิครอบครอง” ในที่ดินผืนนั้น กล่าวคือ เป็นเพียงผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินผืนนั้น ไม่มีกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะใช้ที่ดินผืนนั้นได้ตามใจชอบ

เนื่องจากที่ดิน น.ส.3 มาจากการปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. จึงทำให้ น.ส.3 เป็นที่ดินเพื่อใช้ในการเกษตรเท่านั้น ไม่สามารถใช้สร้างบ้านจัดสรร หรือรีสอร์ต เป็นต้น

ที่ดิน น.ส.3 และ น.ส.3 ก สามารถซื้อขายได้ แต่ไม่สามารถทำประโยชน์อื่นใดได้ นอกจากเกษตรกรรม

ที่ดิน ส.ป.ก. รวมทั้งที่ดินที่ได้รับ น.ส.3 แล้ว เป็นที่ดินของรัฐ รัฐให้ใช้เป็นที่ดินทำกิน ถ้าหากมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ รัฐก็มีสิทธิ์ยึดคืนได้ เพราะ น.ส.3 เป็นหนังสือสิทธิครอบครอง ไม่ใช่โฉนดที่ดิน

การเปลี่ยนแปลงที่ดิน น.ส.3 จากเกษตรกรรมเพื่อประโยชน์อื่นใดได้ ก็ต่อเมื่อ ภาครัฐเห็นควรกำหนดให้พื้นที่นั้น เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย หรือประโยชน์อื่นใดตามความเหมาะสม เช่น การขยายผังเมือง เป็นต้น ในกรณีเช่นนี้ น.ส.3 ก็จะเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน ผู้ครอบครองก็จะเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบธรรม

การออก น.ส.3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่

• การออก น.ส.3 บนพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดิน
• การออก น.ส.3 ทับพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตป่าสงวน
•การออก น.ส.3 เกินกว่าสิทธิครอบครองที่มีอยู่จริง •การใช้ น.ส.3 จากที่อื่นมาใช้กับพื้นที่เขตป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติ หรือทับซ้อนบนแปลงที่ดินผู้อื่น

พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช พ.ศ. 2484

มาตรา 54
ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระทำภายในเขตที่ได้ จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรมและรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือโดยได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา 72 ตรี
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 54 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้ามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507

มาตรา 14
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่

(1) ทำไม้หรือเก็บหาของป่าตามมาตรา 15 เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยตามมาตรา 16 มาตรา 16 ทวิ หรือมาตรา 16 ตรี กระทำการตามมาตรา 17 ใช้ประโยชน์ตามมาตรา 18 หรือกระทำการตามมาตรา 19 หรือมาตรา 20

(2) ทำไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้

สรุป
กฎหมายระบุไว้ชัดเจน เป็นข้อๆ ว่า อะไรคือการออก น.ส.3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนางสมพรก็เซ็นกำกับว่ารับทราบแล้วว่า ที่ดินที่ตนเองซื้อ อาจถูกเพิกถอน เพราะผิดกฎหมาย

สุดท้ายจะมาอ้างว่า ซื้อที่ดินมาโดยถูกกฎหมาย และโดนการเมืองกลั่นแกล้ง ได้อย่างไร

ภาพ นาธนาธร ที่สนับสนุนการต่อสู้เพื่อคนรุ่นใหม่ การเมืองใหม่ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน วันนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่าน เพจเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า

[ หาดูยาก! “ธนาธร” สาธิตการวิ่งเต้น… ]

สาเหตุสำคัญที่เราต้อง #ปลดล็อกท้องถิ่น ก็เพราะรัฐราชการรวมศูนย์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้งบประมาณอยู่ห่างไกลจากประชาชน

ต่อให้ผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง จะมีความคิด มีความรู้ความสามารถ และมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของพื้นที่ แต่พอจะผลักดันโครงการหรือนโยบายที่ก้าวหน้า ก็เจอปัญหาคือไม่มีงบประมาณ แถมต้องผ่านหลายตัวกลางในการพิจารณาอนุมัติ ทั้งที่ตัวกลางเหล่านั้นล้วนไม่มีความยึดโยงกับประชาชน แต่เป็นแขนขาของศูนย์กลางอำนาจที่กรุงเทพฯ

สภาพเช่นนี้ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นเกิดขึ้นได้ยากและล่าช้า ถ้าผู้บริหารท้องถิ่นอยากมีผลงาน จึงถูกบีบให้ต้อง “วิ่งเต้น”

มาร่วมยุติต้นตอของการวิ่งเต้น ด้วยการคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้ผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้มีอำนาจและทรัพยากรในการบริหารจัดการพื้นที่ ให้ประชาชนในแต่ละเมืองแต่ละจังหวัด ได้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดอนาคตของบ้านตัวเอง
ลงชื่อปลดล็อกท้องถิ่นได้เลยวันนี้ ที่จุดลงชื่อทั่วประเทศไทย หรือ ลงชื่อทางออนไลน์ได้ที่ : https://progressivemovement.in.th/campaign-decentralization/
#ปลดล็อกท้องถิ่น #คณะก้าวหน้า

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ความ “ย้อนแย้ง” ที่เกิดขึ้นกับ นายธนาธรและครอบครัว

ดูเหมือน สิ่งที่ นายธนาธร ต่อสู้ กับสิ่งที่นายธนาธรทำในชีวิตจริง มันค่อนข้างสวนทางกันหลายเรื่อง

ทั้งที่ตัว “ธนาธร” เอง ก็คาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองค่อนข้างสูง และทำให้คนไทยคาดหวังสูงตามไปด้วย แต่กลับปล่อยให้ปัญหาส่วนตัวเกิดขึ้นตลอด เหมือนไม่มีบทเรียนอะไรเลย หรือว่า ก่อนตัดสินใจเล่นการเมือง ไม่ได้คิดที่จะทำตัวให้บริสุทธิ์มาก่อนอย่างนั้นหรือไม่?

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ การซื้อที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติ จนถูกเพิกถอน เพราะผิดกฎหมาย

ประเด็นก็คือ เป็นไปได้หรือ ที่คนระดับ นายธนาธร นางสมพร และคนในครอบครัว จะไม่รู้ว่า การซื้อที่ดินป่าสงวนฯผิดกฎหมาย นี่คือ พื้นฐานที่ควรรับรู้ และควรที่จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์ในการดำเนินชีวิต ก่อนที่จะไปนำพาประชาชนและประเทศชาติ โดยไม่ทำผิดกฎหมาย ทำงานการเมืองแบบใหม่ ที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่คดโกง ไม่กอบโกยเงินภาษีประชาชน

นี่ยังถือว่าไม่มีอำนาจ ก็ยังทำผิดกฎหมายขนาดนี้ ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเป็นอย่างไร นี่คือ ความย้อนแย้งที่ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร ก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะข้อเท็จจริงมันวางอยู่ตรงหน้าแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น