xs
xsm
sm
md
lg

โถ ทนายแม๊...แซ่บไม่ไหว เจ้าหนี้ไล่ล่าแห่ทวงเงินออกสื่อ งานนี้จบตั้งแต่เริ่มต้นมั้ยแม๊ ?!! **โดนอีกดอก “สิระ”เจอกกต.ฟันอาญา สมัครส.ส.ทั้งที่รู้ตัวว่าขาดคุณสมบัติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว





**โถ ทนายแม๊...แซ่บไม่ไหว เจ้าหนี้ไล่ล่าแห่ทวงเงินออกสื่อ งานนี้จบตั้งแต่เริ่มต้นมั้ยแม๊ ?!!

กลายเป็นประเด็นที่สังคมโซเชียลฯพากันให้ความสนใจไม่แพ้ความคืบหน้าของคดีหลัก "แตงโม" นิดา เมื่อ "ทนายแม๊" กฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย หรือ ทนายความของแม่แตงโต นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน ว่าความให้ลูกความไม่กี่วัน กลับต้องมาว่าความเคลียร์ตัวเองเป็นพัลวัน หลังโดนบรรดาเจ้าหนี้ทวงหนี้ออกสื่อ

จากรายการที่ควรตามล่าหาความจริงใน “คดีแตงโม” เปลี่ยนเป็น เจ้าหนี้ตามล่าหาลูกหนี้ทวงเงินคืนจ้าละหวั่น ในแทบทุกรายการที่ “ทนายแม๊” ไปโผล่ให้สัมภาษณ์ จนถึงขั้นพิธีกรรายการ ทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย เล่นเอาชาวเน็ตคอมเม้นต์กันมากมาย

งานนี้ เป็นลูกตาม หลังจากที่แม่แตงโม ตั้งนายกฤษณะ เป็นทนายความ รายการขุดคุ้ยจากโซเชียลฯ และทนายดังอย่าง “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” หรือทนายตั้ม ทนายที่แม่แตงโมไม่อยากให้ยุ่งกับคดีลูกสาว เคยเปิดประเด็นเมื่อวันก่อนไว้ให้ระวังทนายของแม่แตงโม เพราะเป็นทนายที่มีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดีที่โรงพักเมืองอุดรธานี ขณะที่ ทนาย "รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์" ระบุว่า ...อ้าว ทนายแม๊ เคยมีคดีฉ้อโกงผู้เสียหายเป็นสิบ คือยังไงแม๊

ภนิดา ศิระยุทธโยธิน
เรื่องนี้ พอสืบกันไปตามคำพูดของทนายดัง ก็ปรากฏว่า มีคดีอยู่จริง

ว่ากันว่า คดีที่ทนายแม๊ เคยถูกร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ จากเหยื่อที่ได้รับความเสียหาย อย่างเช่น คดีเมื่อปี 2560 “ทนายกฤษณะ” ว่าความให้กับภรรยาผู้ต้องหาที่สามีถูกจับข้อหา“แจ้งความเท็จ” หลังไปลงชื่อรับรองชาวลาวที่หลบหนีเข้าเมือง นายกฤษณะ เข้ามาพูดคุย อ้างตัวเป็นทนายความ เข้ามาสอบถาม และเสนอตัวเป็นทนายความ คิดค่าว่าความ 7 หมื่นบาท รับรองว่าไม่ติดคุก หากสามีพวกตนติดคุกจะยอมคืนเงินให้ แต่สุดท้ายสามีพวกเธอติดคุก ทนายแม๊..ก็ยอมคืนเงินให้บางส่วน แต่ก็ยังติดหนี้อีกบางส่วน ก่อนที่หายตัวเข้ากลีบเมฆ

กระทั่ง “นายกฤษณะ”ปรากฏตัวในทีวี เหยื่อจำได้ พอเห็นไปเป็นทนายแม่แตงโม รู้สึกสลดใจ ทำไมแม่แตงโมถึงเลือกทนายคนนี้ ฝากถึง “ทนายแม๊” เอาไว้อีกต่างหากว่า ถ้าเป็นไปไม่ได้ อย่าไปว่าความให้คนอื่นเลย ถ้ายังขี้โกง และให้เอาเงินมาคืนอีก 1 หมื่นบาทด้วย

อีกราย เป็นเหยื่อที่ถูก “ทนายแม๊” หลอกเป็นติวเตอร์ สอนไป ยืมเงินไป หลายหมื่น โดยยังไม่ได้คืนและติดต่อไม่ได้จนกระทั่งมาพบว่าเป็นทนายออกทีวี

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ4-5 ปีก่อน โดยเหยื่อเล่าว่า “นายกฤษณะ” ดูเป็นนักกฎหมายที่สอนดี พูดจาดี ดูน่าเชื่อถือ พอเรียนผ่านไปได้ไม่กี่ครั้ง นายกฤษณะเริ่มยืมเงินนักเรียนที่เรียนด้วย โดยอาศัยการพูดจาให้ดูน่าสงสาร อ้างแม่ป่วย ภรรยาป่วยต้องพาไปหาหมอ เงินหมุนไม่ทัน ด้วยความที่เจอกันอยู่ตลอด และรู้สึกสงสารเลยตัดสินใจให้ยืมเงินไป จากนั้นก็ติดต่อไม่ได้ ตามตัวก็ไม่เจอ

กฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย
กรณีลักษณะแบบนี้ไม่ได้มีแค่รายเดียว “นายกฤษณะ” เที่ยวยืมเงิน อีกหลายกรณี แต่ไม่คืนเช่นเดียวกัน เจ้าทุกข์ทั้งหลายจึงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ต่างกรรมต่างวาระ

ผ่านมาหลายปี ฟังว่า เจ้าหนี้หลายคนพยายามติดต่อ “นายกฤษณะ” แต่ไม่สามารถติดต่อได้เลยจนมารับงานร้อน ปรากฏตัวเป็นทนายความส่วนตัวของ “แม่แตงโม” เจ้าหนี้เห็นลักษณะได้ดิบได้ดี อู้ฟู่ แต่ไม่ยอมคืนเงินผู้เสียหาย จึงพากันแสดงตัวทวงหนี้ดังกล่าว

ด้านเจ้าตัวเอง เคลื่อนไหวแหวกคำสั่งของแม่แตงโมที่ไม่อยากให้ออกสื่อ ใช้จังหวะที่กำลังเป็นกระแส ตระเวนออกสื่อเคลียร์ตัวเองว่า ยอมรับเป็นเรื่องเป็นคดีความ แต่เป็นอดีตที่ขณะนั้นพ่อแม่เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ทิ้งหนี้สินไว้ อีกทั้งยังเอาที่ดินไปจำนอง และจะถูกยึด ในฐานะลูกชายจึงพยายามหาเงินมาชดใช้ ทั้งเรียนและทำงานหาเงินควบคู่กันไป แต่ทุกวันนี้มางาน ทำมาสองปีก็อยากจะเคลียร์หนี้สิน

สรุปว่า งานนี้คดีแม๊ ที่รับงานยังไม่จบ แต่ทนายแม๊ จะจบตั้งแต่เริ่มหรือเปล่า...โปรดติดตาม.

ษิทรา เบี้ยบังเกิด - รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์


**โดนอีกดอก “สิระ”เจอกกต.ฟันอาญา สมัครส.ส.ทั้งที่รู้ตัวว่าขาดคุณสมบัติ

นับว่าเป็นนักการเมืองที่วิ่งเข้าหาแสงมาโดยตลอด สำหรับ “สิระ เจนจาคะ” อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ เขตจตุจักร หลักสี่ ที่ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ “ลุงป้อม-ลุงตู่” ชนดะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือคนในพรรคพลังประชารัฐด้วยกัน

ยิ่งในช่วงที่นั่งเป็นประธาน กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แทน “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตประธานกมธ. ที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตามคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ของศาลรธน.ด้วยแล้ว เรียกได้ว่า สิระ “เบ่งกล้าม” ใส่ไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม ยิ่งมีตำแหน่งใหญ่ ยิ่งอยากเรียกมาสอบ

แล้วในที่สุด “สิระ” ก็ถูกฝ่ายค้านนำโดย “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กับพวกเข้าชื่อยื่นเรื่องผ่านประธานสภา ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพส.ส.ของ “สิระ” เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ในคดีหมายเลขดำ ที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดง ที่ 2218/2538 กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือไม่

และในวันที่ 22 ธ.ค. 64 ศาลรธน. มีมติ 7-2 ให้ “สิระ เจนจาคะ” พ้นสภาพส.ส. เพราะเคยต้องคำพิพากษา-ติดคุกจริง เป็นเวลา 4 เดือน จากคดีฉ้อโกง เมื่อปี 38 ตามที่ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” เปิดโปง... ต้องมีการเลือกตั้งซ่อม แล้ว “สิระ” ก็ผลักดันให้พรรคส่ง “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาของตัวเองลงสมัคร ซึ่งผลเลือกตั้งออกมาออกมาปรากฏว่าคนกรุงเทพฯได้ให้บทเรียนอันเจ็บปวด ...“มาดามหลี”แพ้หลุดลุ่ย แบบว่า“ลุงป้อม”หัวหน้าพรรค ต้องกบดานที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ไม่อยากเจอหน้าใครไปหลายวัน !!

สิระ เจนจาคะ
ก่อนหน้านั้น “สิระ”เคยรอดมาแล้วครั้งหนึ่ง กับการวินิจฉัยของศาล รธน. ในคำร้องที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องให้ศาลฯ วินิจฉัย ว่าสมาชิกสภาพการเป็น ส.ส.ของ “สิระ” สิ้นสุดลงตาม รธน. หรือไม่ จากกรณี “สิระ”เดินทางลงไปตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้างคอนโดมิเนียม ที่ภูเก็ต เมื่อเดือน ก.ย.62 และได้มีการแสดงพฤติกรรม และใช้วาจาไม่เหมาะสมกับตำรวจในพื้นที่ สภ.กะรน -ผู้บริหารเทศบาล ตำบลกะรน ที่มีภาพและคลิปเสียงปรากฏออกมาให้คนทั้งประเทศได้เห็น

ซึ่งครั้งนั้น ศาลรธน. มีคำวินิจฉัยด้วย มติ 7 ต่อ 1 ว่าพฤติการณ์ของสิระ ยังไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ส.ส. ไปก้าวก่าย แทรกแซงการปฏิบัติราชการ จนเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็นส.ส.สิ้นสุดลงตามรธน.

ถึงวันนี้ “สิระ” ต้องเจอดาบสองที่เป็นผลพวงมาจากการที่ศาลรธน.วินิจฉัยให้สิ้นสภาพ ส.ส. เมื่อกกต.มีมติให้ สำนักงานกกต. แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญากับ “สิระ” กรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งส.ส. แต่ยังใช้สิทธิลงสมัคร ตามมาตรา151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2560

ทั้งนี้ มาตรา 151 ได้กำหนดโทษของผู้ที่รู้ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครไว้ว่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี คล้ายกับกรณีที่ กกต.เอาผิด “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังศาลรธน.วินิจฉัยว่า “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อตอนลงเลือกตั้ง นั่นเอง

ดาบแรก สิระต้องสิ้นสภาพส.ส. ส่วนดาบสองนี้เป็นคดีอาญา ที่ต้องลุ้นหนักว่าจะถึงขั้นถูกจำคุกหรือไม่ คำตอบสุดท้ายอยู่ที่ศาล




กำลังโหลดความคิดเห็น