ตกลงแก้หรือไม่!? โทษ 100 ปี ก็ไร้ผล จับตา “วัฒนา” 50 ปี ติดจริงกี่ปี? “สมชาย” แฉอำนาจราชทัณฑ์เหนือตุลาการ? ศาลฯออกหมายจับ “อริสมันต์” ฐานผู้สนับสนุนการกระทำผิด มารับโทษ 4 ปี พ่วง 2 สาว บ.เอกชน คุก 44 ปี
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 มี.ค.) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ส.ว.สมชาย จับตาคุก “วัฒนา” 50 ปี ติดจริงกี่ปี? แฉอำนาจราชทัณฑ์เหนือตุลาการ? โกงชาติ 100 ปี ก็ไร้ผล
โดยระบุว่า จากกรณีวานนี้ (4 มี.ค.) ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยก่อนฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในชั้นอุทธรณ์คดีทุจริตการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทร ของการเคหะแห่งชาติ ที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า
วันนี้ ตนมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และมาตามหาความเป็นธรรม ซึ่งเราได้สู้คดีมาอย่างเต็มที่ ขอขอบคุณทุกกัลยาณมิตร ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองเก่า หรือพรรคการเมืองใหม่ ที่ให้กำลังใจตนมาตลอด ซึ่งวันนี้ตนมาฟังคำพิพากษา เชื่อว่า จะออกมาตามครรลอง เพราะบ้านเมืองเราเสียความยุติธรรมเสียความน่าเชื่อถือไปมากแล้ว ตนเชื่อว่า ทุกคนจะพยายามเอากลับมาให้อยู่ในที่ทางที่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า หลักฐานที่นำมามอบให้ศาลฯ ในวันสรุปปิดคดี มั่นใจแค่ไหนว่าศาลจะรับฟัง นายวัฒนา กล่าวว่า หลักการในการดำเนินคดีอาญาเป็นไปตามหรือพื้นฐานทั้งโลก ซึ่งคดีนี้ไม่มีอะไรถูกต้องทั้งหมด อย่างแรกที่ตนยืนยันตลอดไม่ได้พูดแบบศรีธนญชัย มีการกล่าวหาเกินไป ที่เชื่อหรือว่ามีการเรียกประชุมผู้ประกอบการหลาย 10 คน แล้วไปเรียกรับเงินเขา ซึ่งมีผู้กล่าวหาคนเดียว เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้การจะเอาพยานหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งเป็นเท็จก็จะต้องไปปั้นและจูงใจกันมา ซึ่งหลักฐานการจูงใจและการต่อรองพยานมีเป็นหนังสืออยู่ในสำนวนอยู่แล้ว ซึ่งตนได้ชี้ให้ศาลได้เห็นแล้ว
หากศาลยังรับฟังพยานหลักฐานแบบนี้ ต่อไปตำรวจจับผู้ต้องหาไม่ต้องสอบสวนเอาไฟช็อตหรือทุบเลย และการกล่าวหาว่า ตนไปเรียกเงินเพื่อการอนุมติหน่วยก่อสร้าง หรืออนุมัติให้เป็นคู่สัญญานั้นตนไม่ได้มีอำนาจ เพราะการเคหะแห่งชาติเป็นรัฐวิสาหกิจมีคณะกรรมการในการพิจารณา ซึ่งยืนยันว่า รัฐมนตรีไม่มีอำนาจนี้ โดยคดีนี้ ป.ป.ช.บอกว่า คณะกรรมการไม่มีใครทำผิด แล้วตัวรัฐมนตรีจะลอยมาดื้อๆได้อย่างไร จึงยืนยันว่า คดีนี้ไม่มีความถูกต้องแต่แรก จนถึงสุดท้าย ซึ่งไม่แปลกใจที่ตนยังยืนสู้อยู่ตรงนี้ เพราะยืนยันว่าสิ่งที่กล่าวหาตนไม่เป็นความจริง
นายวัฒนา ยังยอมรับว่า ได้เตรียมใจ และพร้อมสู้ต่อในฐานะตนเป็นพสกนิกร ยังมีที่พึ่งและไม่ได้แปลว่าตนถูกจำคุกแล้วจะฟ้องกลับใครไม่ได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจและทุกคนต้องทำตามครรลอง
เมื่อถามว่า การสู้ต่อหมายถึงการถวายฎีกาใช่หรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า ทุกทางที่มี หากในทางระบบปกติไม่ได้ ตนก็ต้องฟ้องตามที่ว่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งทาง รวมถึงช่องทางตามกฎหมาย ถามย้ำว่า ยังเชื่อมั่นว่า ศาลจะเชื่อในคำแถลงปิดคดีใช่หรือไม่ นายวัฒนา กล่าวว่า ตนได้แถลงไปชัดแล้ว ซึ่งตนไม่ได้พูดลอยๆ และยืนยันว่า นักการเมืองไม่ได้โกงทุกคน และการยืนยันพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมว่าพึ่งพาได้หรือไม่ และย้ำว่า ในคดีอาญาหากทำผิดจริงไม่จำเป็นจะต้องปั้นพยานพูดอะไรเมื่อไหร่ก็จะไปลงที่เดียวกัน และที่ตนนำหลักฐานมาให้ศาล เพราะมีอะไรที่ตอบคำถามไม่ได้ และมีความผิดปกติหลายเรื่องในคดีตน และเชื่อว่า คำพิพากษาจะถูกวิจารณ์อีกมากหากมีการเผยแพร่ออกมา
“วันนี้ตนมั่นใจ เพราะสู้มาเพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม ซึ่งตนได้สู้มา 15 ปีแล้ว และเมื่อคืนนอนหลับดีปกติ ซึ่งตนเตรียมใจไว้ 2 ด้าน ถ้าคำพิพากษาออกมาตามครรลองก็ยอมรับ แต่หากไม่ออกมาตามครรลองก็จะสู้ต่อ และยืนยันว่า จะสู้ทุกช่องทางและสู้จนหมดช่องทางสู้ แต่หากเป็นโควิด-19 ตายก็ช่วยไม่ได้ ทั้งนี้ ยอมรับว่า คดีของตนเป็นการเมือง 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นายวัฒนา กล่าว
ต่อมาเวลาประมาณ 16.50 น. องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาเเก้โทษริบทรัพย์ นายวัฒนา จำเลยที่ 1, 4, 5, 6, 7, 8 เเละ 10 ร่วมชดชดใช้เงิน 89 ล้าน ในส่วนอาญาอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนจำคุก 99 ปี คงจำคุกจริง 50 ปี เหมือนกับกรณีของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง นักโทษในคดีทุจริตจำนำข้าว ก็มีเอี่ยวในการทุจริตครั้งนี้ รับโทษจำคุก 66 ปี แต่จำคุกจริง 50 ปี
หลังจากนี้ นายวัฒนา จะถูกกักตัว 21 วัน ก่อนส่งเข้าเรือนจำ ก่อนถูกคุมตัวไปส่วนเรือนจำ นายวัฒนา ฝากเข็มขัดใส่ติดตัวมา กลับไปให้คนที่บ้าน ขณะเดียวกัน นายวัฒนา มีโรคประจำตัว โรคตับ โรคหัวใจ และ ความดัน ซึ่งก็ได้ เตรียมยามาแล้วจำนวนหนึ่ง
ล่าสุด วันนี้ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า
อนิจจายุติธรรมไทย ทุจริตจำนำข้าว 48 ปี ติด 6 ปี ทุจริตเอื้ออาทร 50 ปี ติดจริงกี่ปี ตราบใดไม่แก้อำนาจราชทัณฑ์เหนือตุลาการ คำพิพากษาตัดสินคดีทุจริตโกงชาติกี่ 100 ปี ก็ไร้ผล #อีก30วันครบกำหนด120วัน ที่นายกฯสั่งการแก้ไขลดโทษสุดซอยจำนำข้าว #เงียบเป็นเป่าสาก #อย่าปล่อยคนชั่วลอยนวล #คัดค้านนิรโทษกรรมจำนำข้าวสุดซอย
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ศาลออกหมายจับ “อริสมันต์” คดีโกงบ้านเอื้ออาทร! พ่วง 2 สาว คุกอ่วม 44 ปี
เนื้อหาระบุว่า จากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วัฒนา เมืองสุข อายุ 65 ปีนั้น
ทั้งนี้ นายวัฒนา และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6, 11
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวน ประกอบการแถลงปิดคดีด้วยวาจาของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ มีประเด็นต้องวินิจฉัย คตส.ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ ป.ป.ช. และมีการตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้แทนของอัยการสูงสุดพิจารณาหลักฐานจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องโดยชอบตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ ศาลฎีกาฯได้อ่านคำพิพากษาเมื่อ 24 กันยายน 2563 ตัดสินจำคุกจำเลยในคดีดังกล่าว อาทิ นายวัฒนา เพราะกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 รวมความผิด 11 กระทง กระทงละ 9 ปี รวม 99 ปี แต่คงจำคุกจริง 50 ปี โดย นายวัฒนา ได้ประกันตัวและยื่นอุทธรณ์ กระทั่งวันที่ 4 มีนาคม 2565 ศาลฎีกาฯได้พิพากษายืนให้จำคุก ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนายวัฒนา ไปยังเรือนจำเพื่อรับโทษต่อไป
นอกจากนี้ ก่อนการอ่านคำพิพากษายืนจำคุกนายวัฒนา ศาลได้ออกหมายจับจำเลยที่ 6 คือ นางสาวกรองทอง วงศ์แก้ว จำเลยที่ 7 นางสาวรุ่งเรือง ขุนปัญญา และ จำเลยที่ 10 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
สำหรับ นายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด 1 กระทง จึงถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งองค์คณะเสียงข้างมาก เห็นว่า แม้จะไม่ปรากฏว่า ผู้หญิงที่รับเงิน 40 ล้านบาท เป็นใครและมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 10 อย่างไร แต่คำเบิกความของพยานเป็นการซักถามถึงการจ่ายเงินด้วยความระมัดระวัง
“พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 เป็นการยุยงส่งเสริมให้พยานตัดสินใจจ่ายเงิน 40 ล้านบาท เพื่อให้โครงการได้รับอนุมัติ ประกอบกับเช็คที่จ่ายไปถึงจำเลยที่ 7-8 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับขบวนการในคดีนี้ แม้ผู้กระทำผิดจะรู้ถึงความช่วยเหลือของจำเลยที่ 10 หรือไม่ก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 ก็ถือเป็นการสนับสนุน”
ส่วนจำเลยที่ 6 น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว พนักงานบริษัท เพรสซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง จำกัด มีความผิด 11 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี ขณะที่จำเลยที่ 7 น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา พนักงานบริษัท เพรซิเด้นฯ ความผิด 8 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 32 ปี
แน่นอน, สิ่งที่หลายคนเป็นห่วง และเคยเป็นกระแสมาก่อนหน้านี้ ก็คือ การลดโทษคดีทุจริตโกงชาติอย่างมาก จนเหลือติดคุกจริงไม่กี่ปี ก็พ้นโทษ จึงยากที่คนทำผิดจะรู้สำนึก และเข็ดหลาบ ไม่กล้าทำผิดทุจริตโกงชาติบ้านเมืองอีก
ตัวอย่างการลดโทษของกรมราชทัณฑ์ที่มีปัญหา และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก รวมถึงถูกร้องไปทาง ป.ป.ช. และรัฐบาลเพื่อแก้ไข คือ
อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ดำเนินการบริหารโทษ (ลดโทษ) กับบุคคลที่ได้รับการลงโทษตามคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว ดังนี้
นายภูมิ สาระผล จากโทษจำคุก 36 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 8 ปี
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กำหนดโทษจำคุก 48 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 10 ปี
นายมนัส สร้อยพลอย กำหนดโทษจำคุก 40 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 8 ปี
นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง) กำหนดโทษ 48 ปี ล่าสุด เหลือวันต้องโทษ 6 ปี 3 เดือน
จริงอยู่, แม้อ้างว่า ลดโทษมาแล้วหลายครั้ง แต่การตัดสินให้ได้ลดโทษ การจัดชั้นนักโทษ จนมีการลดโทษอย่างถี่ยิบกว่านักโทษคนอื่น ก็เป็นอีกประเด็นที่ถูกตั้งข้อสงสัย ว่า มีการรับใต้โต๊ะ หรือเรียกรับเงินอะไรหรือไม่ ที่จะต้องไปว่ากันในรายละเอียด
นี่คือ สิ่งที่ ส.ว.สมชาย แสดงความเป็นห่วงว่า กรณีของ “วัฒนา” ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 50 ปี แต่ติดจริงอาจไม่ถึง 50 ปี และถ้าตราบใดที่อำนาจราชทัณฑ์ ยังดูเหมือนอยู่เหนือตุลาการ รวมทั้งยังไม่ได้รับการแก้ไข สิ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำรอย การลดโทษให้กับนักโทษคดีทุจริตจำนำข้าว ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งทั้งสองคดี ถือว่า โกงชาติ ตามคำพิพากษาของศาล
เหนืออื่นใด ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคดีที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองเมืองกับคนธรรมดาสามัญ และการเล่นพรรคเล่นพวกทางการเมือง รวมถึงการใช้ “เงิน” ใช้ “อำนาจบารมี” ทางการเมืองในการวิ่งเต้นอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน นี่ยังไม่นับความเสียหายอื่น และการลงโทษที่แทบไม่มีความหมายแต่อย่างใดด้วย