xs
xsm
sm
md
lg

“โทนี่” มั่นใจ ได้กลับไทย พ.ศ.นี้ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

มาอีกแล้วสำหรับ “โทนี่” หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวแบบมั่นใจอีกครั้งว่า “จะได้กลับไทยใน พ.ศ.นี้” หลายคนก็สวนกลับไปทันทีเช่นเดียวกันว่า “โม้หรือขี้โม้” ตามนิสัย เพราะที่ผ่านมา การพูดในลักษณะแบบนี้ไม่เคยทำจริง หรือทำได้จริงได้สักครั้ง มีแต่หลอกให้บรรดาแฟนคลับ หรือมวลชนผู้สนับสนุนเคลื่อนไหวตามที่ตัวเองต้องการ

เหมือนกับก่อนหน้านี้ เมื่อมีการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” เมื่อหลายปีก่อน ที่ถือว่าเป็นมวลชนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวชุมนุมกดดันให้ตัวเองได้กลับมามีอำนาจอีกรอบ โดยผ่านพรรคการเมือง คือ พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ในคราวนั้น เขาประกาศว่า “ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำประชาชนเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที”

นั่นเป็นการประกาศเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 เป็นการวิดีโอลิงก์จากต่างประเทศเข้ามายังเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงในเวลานั้น เป็นลักษณะการพูดเพื่อกระตุ้น เร่งเร้ามวลชนที่สนับสนุนเขาให้เกิดความฮึกเหิม และมีกำลังใจต่อสู้ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ทอดทิ้งให้สู้อย่างเดียวดาย อะไรประมาณนั้น

แต่เอาเข้าจริงเวลาเกิดเหตุกลายเป็นว่า มีแต่คนเสื้อแดงรากหญ้าเท่านั้นที่ติดคุกติดตะราง ลำบากลำบนจนบางคนหมดเนื้อหมดตัว ขณะที่ตัวนายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนในครอบครัวชินวัตร กลับไม่มีใครสักคนที่ติดคุก มีแต่หนีเอาตัวรอดมาจนถึงบัดนี้

อย่างไรก็ดี คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน หากมองว่าเขา “ขี้โม้” และมี “นิสัยประเภทเสียงดังแต่ขี้ขลาด” ก็อาจจะใช่อีก เพราะเขาเป็นคนที่ “ปากพาพัง” มาตลอด แต่หากมองกันแบบรู้ทันเหมือนทุกครั้งก็คือ มันก็ต้องมีสาเหตุที่ทำให้ “มีความมั่นใจ” บางอย่าง ถึงได้พูดออกมาแบบนั้นทุกครั้ง แม้ว่าความมั่นใจที่ว่านั้นอาจเป็นเพราะได้รับ “ข้อมูลที่ผิดพลาด” หรือมาจากคนใกล้ชิดที่จงใจป้อนข้อมูลให้เขาเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นแบบประเภทที่ว่าคนใกล้ชิดประเมินสถานการณ์ผิดพลาด แล้วส่งต่อไปให้รับรู้แบบไม่ตั้งใจทำให้เกิดความมั่นใจ และตามมาด้วยความผิดหวังซ้ำซาก

หากพิจารณาจากความต่อเนื่องจากคำพูดที่เคยกล่าวว่า “ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไป นำประชาชนเดินเข้ากรุงเทพฯทันที” เมื่อปี 2552 ในตอนนั้นเมื่อย้อนกลับไปดูบรรยากาศแล้วถือว่า ม็อบคนเสื้อแดงที่กำลังชุมนุมกดดันรัฐบาล และฝ่ายกองทัพในเวลานั้นกำลังมีความฮึกเหิมมาก มีมวลชนเข้าร่วมจำนวนมาก จนทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร มั่นใจว่า “สามารถก่อการปฏิวัติโดยพลังประชาชนลงได้ในไม่ช้า” จึงกล้าพูดว่า “จะเดินหน้านำประชาชนด้วยตัวเอง” แต่ทุกอย่างก็ผิดคาด พลิกกลับตาลปัตร ม็อบถูกปราบปรามลงได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะม็อบขาดความชอบธรรม หลังจากเริ่มก่อเหตุรุนแรง มีการเผาศาลากลาง ทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทำลายระบบเศรษฐกิจ

แต่เอาเป็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้ออกมานำประชาชนอยู่ดี แม้ว่าทหารจะยิงปืนออกมาเป็นร้อยนัดหมื่นๆ นัดก็ตาม ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเขาใจกล้าหน่อยเสี่ยงออกมานำม็อบด้วยตัวเอง ก็อาจเป็นไปได้ว่าอาจจะชนะไปแล้วก็ได้ หรืออาจถูกยิงตายหรือถูกสลายม็อบและถูกจับกุมกลางม็อบไปแล้วก็ได้ แต่เมื่อไม่ออกมา ความหมายก็คือ “ขี้โม้” หรือ “ดีแต่ยุให้คนอื่นไปตายไปติดคุกแทนตัวเอง” เท่านั้น

ครั้งต่อมาที่พอจำกันได้กับคำพูดที่ทำเอามวลชนคนสนับสนุนต้อง “สะอึก” ก็คือคำพูดที่ว่า “พี่น้องไม่ต้องตามผมมา ส่งผมถึงฝั่งแล้ว ให้กลับไป” อะไรประมาณนั้น ตอนนั้นก็มีการประเมินกันว่าสาเหตุที่ นายทักษิณ กล้าพูดออกหมายแบบนั้น ความหมายก็คือ “ผลักใสคนที่เดินตามมาให้กลับไป” ไม่ต้องตามมาอีกต่อไปนั้น น่าจะเป็นเพราะมีความมั่นใจอะไรบางอย่าง หลายคนเดาว่า เป็นเพราะเขาเชื่อว่าสามารถ “เคลียร์กับผู้มีอำนาจ” ได้แล้ว และทำให้ได้กลับไทยในเร็ววัน รวมไปถึงไม่ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงบัดนี้

หรือครั้งหนึ่งในช่วงที่ผลักดันให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่เคยได้พิสูจน์ฝีมือในทางธุรกิจของตัวเองที่โดดเด่นมาก่อน แต่สามารถชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ได้เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศ ก็ทำให้ นายทักษิณ มีความมั่นใจอีกครั้ง จนนำไปสู่การออกกฎหมาย “นิรโทษกรรมสุดซอย” จนเกิดกระแสต่อต้านไปทั่วประเทศ มีคนออกมาประท้วงเป็นล้านๆ จนพังไปอีกรอบ และคราวนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ตามไปสมทบเป็น “คู่สัมภเวสี” ในต่างประเทศมาจนปัจจุบัน

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน นายทักษิณ ชินวัตร ก็พูดออกมาอีกว่า “จะกลับไทย พ.ศ.นี้” ในความหมายที่เข้าใจว่า “พ.ศ.2565” ในปีนี้ คงไม่ใช่หมายถึง ภายใน “พุทธศตวรรษ” อย่างแน่นอน ดังนั้น หากเป็นภายในปีนี้ ก็ต้องมั่นใจว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะต้องลาออก หรือยุบสภา แล้วมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งตัวนายกฯหรืออีกทางหนึ่งคือ มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก่อนกำหนด

สำหรับความเป็นไปได้ที่สนับสนุนความมั่นใจ (อีกครั้ง) ของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะมาจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาสามัญในเดือนพฤษภาคม ที่พรรคเพื่อไทยของเขาจะยื่นญัตติซักฟอก จนอาจนำไปสู่ทั้งสองกรณีดังกล่าวก็เป็นได้

หากให้เดาใจเขาก็น่าจะหวังว่าหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกยื่นญัตติซักฟอกแล้ว ทำให้เขาไม่อาจยุบสภาได้ และอาจมีการลาออกตามมา โดยมีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดตเหลืออยู่ คือ นายชัยเกษม นิติสิริ แต่เมื่อดูทรงแล้วคงไปไม่ไหวแน่

ความเป็นไปได้ก็คือ อาจเป็นนายกฯชั่วคราวเพื่อยุบสภาแล้วทำหน้าที่รักษาการรองรับการเลือกตั้ง ที่เชื่อว่า ถึงเวลานั้นพรรคเพื่อไทย คงจะดัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวคนเล็ก ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำหญิงคนที่สอง และที่สำคัญก็คือ ต้องการให้ “ลูกสาว” เป็นนายกฯ ได้ทันการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเอเปก ในเดือนพฤศจิกายน นั่นเอง

และครั้งนี้มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะแบบแลนด์สไลด์ เนื่องจากเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งมาเป็นใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ที่คาดว่าจะได้เปรียบ ประกอบกับสถานการณ์ของ “สาม ป.” และความแตกแยกภายในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้พลังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อ่อนแรงลงไปมาก

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความอ่อนแรงของฝ่ายตรงข้าม และจากกลไกการเลือกตั้งที่มั่นใจว่าทำให้ได้เปรียบ ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง และที่สำคัญ ทำให้ “โม้ได้อีกครั้ง” จนเก็บไว้ไม่ไหวว่า “จะกลับไทยใน พ.ศ.นี้ หรือ ปีนี้” โดยจะผลักดันให้ ลูกสาวคนเล็กได้เป็นนายกฯ เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเอเปก หวังว่า จะได้กระทบไหล่ผู้นำมหาอำนาจที่จะมาชุมนุมกันในประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นจริงหรือ ฝันค้างถาวร หรือไม่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น