วันนี้(28 ก.พ.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมกล่าวถึงกรณี นาย รังสิมันต์ โรม สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมายื่นข้อร้องเรียนให้ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมีย์เวส ประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปราม การ ทุจริต ประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช. ) รับเรื่องที่นายรังสิมันต์ ถูกแจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากกล่าวให้ร้าย พูดเท็จ ทำให้ผู้อื่นเสียหายว่า หลายครั้งที่ตนเคยตักเตือนนายรังสิมันต์มาตลอดโดยขอให้พูดข้อมูลที่เป็นจริง อย่าพูดให้คนอื่นเสียหาย อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีเนื่องจากเป็นการละเมิดผู้อื่นอันเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา
"วันนี้นายรังสิมันต์ถูกดำเนินคดีได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรมให้คนอื่นช่วยเหลือทั้งที่ตัวเองเป็นผู้โจมตีกฎหมายอาญามาตรา 112 มาโดยตลอด และเสนอให้มีการแก้กฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สถาบันกษัตริย์ถูกโจมตีได้ง่ายขึ้น ผมจึงแปลกใจมากว่า ทำไมนายรังสิมันต์จึงมองแต่ตัวเอง และในวันนี้เมื่อตัวเองเดือดร้อนก็ร้องให้คนอื่นช่วยทั้งๆที่ตนเองพูดให้ร้ายคนอื่นไม่ว่าจะเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และอีกหลายคนจึงถูกดำเนินคดี เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การแก้มาตรา 112 นั้นจะแก้ทำไม เพราะทุกวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และทุกวันนี้ก็ถูกให้ร้ายเป็นรายวัน"
นายสามารถ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่ตนอยากจะพูด คือ เรื่อง ปัญหาชาวโรฮิงญา ที่นายรังสิมันต์พยายามขายฝัน พยายามจะปลุกระดมมวลชน ซึ่งน่าแปลกใจว่าโรฮิงญาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนต่างชาติที่มีการอพยพลี้ภัยจาก ปัญหา การเมืองภายในประเทศของเขา โดยถูกรัฐบาลพม่า ปราบปราม จึงเหมือนผึ้งแตกรังมีจำนวนมากอพยพไปประเทศบังกลาเทศ ตนจึงคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าปัญหาความเดือดร้อนของคนไทย มีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องการถูกหลอกลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ดี แชร์ลูกโซ่ก็ดี แต่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา นายรังสิมันต์กลับไม่ใช้เวลาดังกล่าวแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนคนไทยแม้แต่วินาทีเดียว
"นายรังสิมันต์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของชาวโรฮิงญาหรือคนไทยกันแน่นี่คือสิ่งที่ต้องการฝากให้ประชาชนตระหนักในการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน การที่นายรังสิมันต์อภิปรายเรื่องการค้ามนุษย์และพยายามผลักดันให้ รัฐบาล ได้รับผลกระทบ และพยายามให้ถูกแทรกแซงจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งการกระทำเช่นว่านี้เปรียบเสมือน การโยนกระเบื้องล่อหยก ในวันนี้ ไม่ว่าจะพูดเรื่อง ปัญหาชาวโรฮิงญา หรือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน มีการเสนอให้ถอนกำลังออกจาก ประเทศรัสเซีย นั่นคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าจะทำให้ประเทศไทยเดือดร้อนเพราะการให้ข้อมูลเท็จ หรือต้องการมุ่งโค่นล้มรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาให้ได้"
นายสามารถ ยังกล่าวต่อว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนนึกถึงอดีตสมัยเสียกรุงครั้งที่ 1 ซึ่ง มีไส้ศึก เห็นแก่อามิสสินจ้างหลงเชื่อคำของบุเรงนองเปิดประตูเมืองให้พม่า โดยไม่คำนึงถึงคนไทย จนนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่รัสเซียใช้กองกำลังบุกโจมตีประเทศยูเครน ในเรื่องนี้ คนไทยรู้ดีว่าเป็นอย่างไรและเรื่องนี้เป็นปัญหานอกประเทศซึ่งเราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ เราควรอยู่ตรงกลางในการบริหารจัดการความขัดแย้งนี้ให้ได้เพราะอย่าลืมว่า ประเทศรัสเซียมีทรัพยากรแก๊สและน้ำมันมาก หากเขามองประเทศไทยเป็นศัตรูแล้วหยุดส่งแก๊สและน้ำมันมาให้เราจะส่งผลกระทบกับประเทศไทย อย่างไร
"ผมขอชื่นชม ส.ส.ที่ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงและขอตำหนิ ส.ส.ที่มุ่งล้มทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และล้มล้างรัฐบาลเพื่อแสวงหาอำนาจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตกมายังประชาชน ผมขอเตือนว่าอย่าคิด ล้มล้างรัฐบาลจนตัวสั่น โดยพยายามพูดไม่จริง พูดโดยไม่คิดเพราะจะทำให้คนไทยร้อน ท้ายสุดนี้ผมขอฝากไปยังนายรังสิมันต์ว่า หากไม่ต้องการถูกดำเนินคดี ก็อย่าพูดเท็จ หรือละเมิดผู้อื่นทำให้เขาเดือดร้อน ถ้านายรังสิมันต์โรม ฟังผมบ้าง ผมมั่นใจว่าคงไม่ต้องเรียกร้องให้พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ช่วยเหลือส่วนเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ในวันนี้นายรังสิมันต์โดนข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณายังเดือดร้อนขนาดนี้แต่กลับไม่เห็นใจสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกให้ร้ายโจมด้อยค่า โจมตีมาโดยตลอด กลับปลุกระดม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้การละเมิดมาตรา 112 แล้วไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา คนแบบนี้เป็นคนเช่นไรอยากฝากให้ประชาชนคิด"