ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดรามา มาหนัก “ศักดิ์สยาม” สั่งดับไฟ M-Flow หลังเจอทัวร์ลงค่าปรับบาน
กรณีกรมทางหลวงเปิดใช้บริการระบบ M-Flow หรือการเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไร้ไม้กั้น เพื่อลดปริมาณรถติดหน้าด่านเก็บเงิน เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า เกิดความชุลมุนชุลเก ประชาชนผู้ใช้รถไม่เข้าใจ รถติดหนักเป็นแถวยาว แถมเกิดปัญหาระหว่างการใช้ของรถที่ไม่ได้ลงทะเบียนออนไลน์ไปจนถึงการชำระเงินและค่าปรับ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สัญจรผ่านทางที่ติดตั้ง M-Flow
หลังจาก M-Flow ไม่ Flow ก็กลายเป็นประเด็นดรามาในโลกออนไลน์ และเมื่อมีเหล่าคนดังในวงการบันเทิง อาทิ หลุยส์ สก็อต, อ๋อม สกาวใจ, ก็อต จิรายุ ออกมาขยี้ซ้ำ โดยเฉพาะค่าปรับที่แพงเกิน จนดรามาขยายลุกลามไปสู่การมองว่า รัฐบาลหลอกกินเงินประชาชนหรือเปล่า
งานนี้ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ก็ได้ออกมาเคลียร์ปัญหานี้ โดยบอกว่า ให้ชะลอการเก็บเงินค่าปรับ ตั้งแต่วันนี้ (24 ก.พ.) เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก M-Flow ที่ชำระค่าผ่านทาง หลังจากใช้งานในระยะเวลา 1 สัปดาห์ และหลังจาก 1 สัปดาห์ หากยังละเลยจ่ายค่าผ่านทาง ก็จะต้องเสียค่าปรับ
ผู้ที่ชำระค่าผ่านทาง และถูกปรับไปก่อนหน้านี้ กรมทางหลวงจะให้มีการคืนเงินค่าปรับให้ภายใน 31 มี.ค. 65 “ศักดิ์สยาม” ยังย้อนที่มาของระบบ M-Flow ว่า มีการศึกษาเพื่อพัฒนาระบบมาตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งกำหนดเดิมจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 แต่พบว่า ระบบ AI ยังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารข้อมูล ทำให้ต้องขยายเวลามาเริ่มใช้ในเดือนมกราคม ปี 2565 เพื่อทดสอบระบบ และมีความพร้อมในการให้บริการ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นใช้ระบบ M-Flow ปรากฏว่า มีปัญหาพอสมควร เนื่องจากประชาชนบางส่วนไม่รู้ว่าช่องทางใดเป็นช่องจราจร
สำหรับ M-Flow ทำให้เกิดการเปลี่ยนช่องจราจรกะทันหัน ส่งผลให้รถชะลอตัว และรถติดหน้าช่องเก็บเงินเป็นระยะทางถึง 3 กม. จึงแก้ไขด้วยการจัดเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวง เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก และตำรวจทางหลวง ไปช่วยอำนวยการจราจร และขณะนี้มีการนำแบริเออร์มากั้นช่องทางจราจรก่อนถึงช่องทางเก็บเงิน 1 กม. เพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งตอนนี้รถติดน้อยลงเหลือ 1 กม. เท่านั้น
จากการศึกษา M-Flow จะสามารถระบายรถได้เร็วกว่าช่องเอ็มพาส ถึง 5 เท่า ซึ่งขณะนี้เปิดให้บริการ M-Flow 4 ช่อง จากทั้งหมด 12 ช่อง โดยจำนวนรถที่ใช้บนมอเตอร์เวย์สาย 9 มีสถิติต่อวัน 2 แสนกว่าคัน ซึ่ง M-Flow สามารถดำเนินการระบายรถได้
ถึงที่สุด รมว.คมนาคม ได้กราบขออภัยพี่น้องประชาชน ยอมรับว่า การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ อาจจะยังไม่ทั่วถึง และมีปัญหา ทำให้ประชาชนยังไม่ได้สมัครสมาชิกเข้าไปใช้บริการ จึงได้รับการแจ้งเตือนให้มาชำระค่าผ่านทาง บางคนไม่ทราบว่าจะต้องชำระเมื่อไหร่
เขาว่า ความจริงแล้วจากการศึกษาในหลายประเทศ ชำระวันต่อวัน แต่ประเทศไทยให้ชำระภายใน 2 วัน เพราะต้องการไม่ให้มีหนี้เสีย แต่ขณะนี้ทราบปัญหาว่า บางคนอาจมีปัญหาเรื่องระบบแบงกิ้ง ที่เมื่อโอนเงินแล้วอาจจะเกิน 2 วัน ทำให้โดนเรื่องค่าปรับ จึงได้สั่งการให้กรมทางหลวงชะลอการปรับเงินออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้วิธีการสมัคร เข้าใช้ระบบนี่ก็เป็นบทเรียนของการนำเทคโนโลยีมาใช้ ที่แน่นอนว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านย่อมก่อปัญหาและผลกระทบต่อผู้ใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่า กรมทางหลวงจะแก้ปัญหา และปรับปรุงให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้น ถ้ายังแก้ไม่ตก ก็ต้องเตรียมใจโดนเสียงด่าและดรามา ตามมาอีกแน่ๆ
**ไอเดียกระฉูด “ส.ว.เสรี” เสนอ “ซื้อเสียงเสรี” ในเมื่อแก้ไม่ได้ก็ปล่อยไป ให้คนเลือกใช้วิจารณญาณเอง
ไม่รู้ไปโดนตัวไหนมา “ส.ว.เสรี สุวรรณภานนท์” ลุกขึ้นอภิปรายร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ในที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวานนี้ จึงเสนอไอเดียแบบหลุดโลก ว่า ให้ยกเลิกความผิดฐาน “ซื้อเสียง” และ “ขายเสียง” ไปเสียเถอะ ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาพความเป็นจริง ต้องยอมรับว่า ในการเลือกตั้งทุกระดับ มีการซื้อเสียงเป็นส่วนใหญ่ กฎหมายระบุให้มีความผิดทั้งผู้ให้และผู้รับ ทำให้ไม่สามารถจับผู้กระทำผิดได้ เพราะคนรับไม่กล้าไปเป็นพยาน เพื่อเอาผิดคนซื้อเสียง ด้วยเหตุนี้จึงควรแก้กฎหมายให้ผู้รับเงิน หรือผู้ขายเสียง ไม่มีความผิด
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาการซื้อเสียงก็ทำไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น ถ้าแก้ไม่ได้ก็ให้ยกเลิกไปเลย ให้การซื้อเสียงไม่เป็นความผิด เรียกว่า ปล่อยให้ “ซื้อเสียงเสรี” ไปเลย ให้แต่ละคนมีจิตสำนึกเอง และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของประชาชนว่าจะเลือกใครเป็น ส.ส.
ขณะที่เรื่องการห้ามมีมหรสพระหว่างการหาเสียงนั้น “ส.ว.เสรี” ก็เห็นว่า ควรยกเลิก อย่าไปสร้างเงื่อนไขมาก กฎหมายเลือกตั้งควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
ก็ดูเหมือนว่า “ส.ว.เสรี” มีเหตุผลมาสนับสนุนแนวความคิดทั้ง “ซื้อเสียงเสรี” และ “จัดมหรสพเสรี” แต่เหตุผลของ “ท่าน ส.ว.” ก็ฟังไม่ขึ้น สำหรับบรรดาพลเมืองชาวเน็ตเท่าไหร่ เมื่อผู้คนในโลกโซเชียลฯ ต่างร้องยี้กันเป็นแถว อย่างเช่น
“ขนาดเอาผิดมันยังไม่กลัว แล้วปล่อยผีแบบนี้รับรองเละ คิดยังไงล่ะท่าน ไม่ใช่เอาผิดไม่ได้ ที่เอาผิดได้ก็เยอะแยะ”
“ไม่ต้องมีกฎหมายห้ามอะไรกันแล้ว ให้เป็นจิตสำนึก และวิจารณญาณทั้งหมดก็ได้ ยกเลิกแม่…ให้หมดเลย ไอ้ที่ห้ามๆ กัน”
“ทุกวันนี้กฎหมายแทบจะไม่มีความสำคัญแล้ว อยากทำอะไรทำ รุกป่า เลี่ยงภาษี ให้สินบน ประท้วงด่าใครก็ได้”
“ต่อไปก็ยกเลิกความผิดที่ทุจริต เพราะเเก้ไม่ได้เหมือนกัน”
“ตรรกะเหี้…อะไรวะเนี่ย ถ้างั้นคดีฆ่าคนก็ยกเลิกไปเลยมั้ย ก็ไม่เห็นแก้ได้เหมือนกัน แทนที่จะเพิ่มโทษให้แรงขึ้น ดันจะให้ยกเลิก
“ประชาธิปไตยฉิบหายทุกวันนี้ ก็เพราะไอ้พวกซื้อเสียงนี่แหละ คนเก่งคนดีไม่มีโอกาสเป็นผู้แทนปวงชน มีแต่พวกกระสือตอมห่าเที่ยวหากินเต็มสภา จะยกเลิกความผิดทำไม ต้องกำหนดโทษให้หนัก ซื้อเสียงต้องถือเป็นอาชญากรรมต่อชาติบ้านเมือง จำคุก และริบทรัพย์ให้เข็ด จึงจะเป็นทางออกครับ”
ขณะที่ “ส.ว.วันชัย สอนศิริ” ที่เคยร่วมแนวทางกับ “ส.ว.เสรี” ในหลายเรื่อง แต่สำหรับเรื่องการซื้อเสียง ส.ว.วันชัย เห็นต่าง โดยได้อภิปรายถึงปัญหาการใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไป ทั้งการเลือกตั้ง อบต. หรือเลือกตั้งซ่อม มีการใช้เงินมหาศาล แค่ อบต.เล็กๆ ก็ใช้เงินกันถึง 12-20 ล้านบาท เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ กกต.ต้องควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรมให้ได้ มาตรการเชิงรุกแก้ปัญหา ต้องแรงและเร็ว แต่ กกต.ไม่เคยทำงานเชิงรุกเลย การแก้กฎหมายครั้งนี้ ขอให้พิจารณากันให้ชัดเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตซื้อเสียงก่อนการเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่เฉพาะ “คืนหมาหอน”
พูดถึงเรื่องซื้อๆ ขายๆ ในวงการนักเลือกตั้ง ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงลีลาวาทกรกรรมของ “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ที่เคยโพสต์เฟซบุ๊ก เหน็บแนมพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชนะการเลือกซ่อม ส.ส.ที่สงขลา และชุมพร เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ชนะเพราะ “ซื้อเก่ง” ทำให้คนของ ปชป. ออกมาโต้เดือด พร้อมประกาศจะดำเนินการตามกฎหมาย จน “เอ๋ ปารีณา” ต้องลบโพสต์ พร้อมออกลีลานักการเมืองพลิ้วไหว โดยโพสต์ข้อความใหม่ว่า “ขออนุญาตชี้แจงว่า ได้โพสต์ว่า ซื้อเก่งกว่าจริง แต่ไม่ได้หมายถึงการซื้อเสียง และไม่มีประโยคใดเขียนว่า “ซื้อเสียง” ที่โพสต์ไปนั้นเป็นการชื่นชมประชาธิปัตย์ว่า “ซื้อใจ” ประชาชนเก่งกว่าพลังประชารัฐ เท่านั้น
ก็เอาเป็นว่า เรื่องการ “ซื้อ” กับการเลือกตั้งนั้น เป็นของคู่กันไปเสียแล้ว ส่วนจะ “ซื้อใจ” หรือ “ซื้อเสียง” ก็ต้องไปว่ากันอีกที