เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าเป็นนิสัยดั้งเดิมที่แก้ไม่หายสักที สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร หรือในชื่อฝรั่ง “โทนี่ วู้ดซัม” นั่นคือ “ขี้โม้” และประเภท “ปากไม่มีหูรูด” อยากพูดอะไรก็พูดไปได้เรื่อยเปื่อย ซึ่งผลจากคำพูดแทบทุกครั้ง มักจะส่งผลสะท้อนย้อนกลับมาหาตัวเองในทางลบอยู่ตลอดเวลาจากคำพูดล่าสุดเมื่อสองสามวันก่อน ใน “คลับเฮาส์” ของ “กลุ่มแคร์ คิดเคลื่อนไทย” ที่เป็นกลุ่มการเมืองในเครือข่ายของตัวเอง หากมองในภาพรวมแล้ว ถือว่าเขา “พลาดอย่างแรง” เพราะมีการพาดพิงไปทั่ว
แน่นอนว่า การพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการหมิ่นแคลนอย่างชัดแจ้ง ไปด้อยค่าคนอื่นแบบที่ไม่ให้เกียรติกันเลย ซึ่งตามปกติในทางการเมือง หรือคนทั่วไปมักจะไม่ทำกัน เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า ในวงการนั้นวันหนึ่งก็ต้องพึ่งพาเกื้อกูลกัน แม้การเมืองอาจไม่มีมิตรแท้ แต่ก็คงไม่มีใครเหยียบย่ำกันแบบนั้นแน่นอน
ที่สำคัญ สถานการณ์ในวันนี้กับเมื่อครั้งที่เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงที่พรรคไทยรักไทย กวาดที่นั่งส.ส.และเรืองอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544 จนกระทั่งพ้นจากเก้าอี้ เพราะโดนรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อปี 2549
แม้ว่าจะพ้นจากอำนาจโดยตรง แต่ยังถือว่าเขาก็ยังมีอำนาจในทางอ้อม เพราะยังมีพลังสั่งการผ่านรัฐบาล และนายกฯ “หุ่นเชิด” ได้อีกหลายคน จนกระทั่งมาถึงคนล่าสุด คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของตัวเอง ที่ถือว่ามีการทุจริต สร้างความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะจากโครงการรับจำนำข้าว อันอื้อฉาว
แม้ว่าก่อนหน้านี้ ในยุคของนายทักษิณ เองที่มีการทุจริตเชิงนโยบายมากมาย มีการ “ฆ่าตัดตอน” เป็นเผด็จการรัฐสภา สารพัด แต่นั่นก็เป็นยุคก่อน ที่แม้จะรับรู้ แต่ก็ยังถือว่าการสื่อสารข้อมูลยังไม่ได้กว้างขวางรวดเร็วเหมือนกับในยุคนี้ ที่สำคัญ ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับยุคก่อนผ่านมาเกือบยี่สิบปี ถือว่าเขา “ตกยุค” ไปแล้ว ไม่สามารถขายของเก่าได้แบบเดิมอีกแล้ว แม้แต่ “มวลชนเสื้อแดง” ก็แตกสานซ่านเซ็น ไปคนละทิศละทาง
การพูดจาในคลับเฮาส์ ครั้งนี้ ถือว่าได้สร้างศัตรู หรือทำให้เกิดความไม่ใจ ไปทั่ว เพราะ “กราดไปทั่ว” ไม่เว้นแม้แต่ “ลูกน้องเก่า” อย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เคยร่วมงานกันมานาน ตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรม ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ที่เธอเคยเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ก่อนจะแยกออกมาตั้ง “พรรคไทยสร้างไทย” ซึ่งก็ตกเป็น “ขี้ปาก” นายทักษิณ ที่กระแหนะกระแหน ว่า เป็นหนึ่งใน “พรรคสร้าง” ที่ต้องการสื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองล่มสลาย ถึงต้องมาสร้างใหม่ อะไรประมาณนั้น มีความหมายในทางดูถูก เหยียดหยามคนอื่น แม้ว่าเจตนาจะด้อยค่ารวมๆ เน้นไปที่ “ลูกน้องเก่า” อย่าง นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้” ที่กำลังเคลื่อนไหวตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อสนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยยังมีพรรคอื่นที่โดนร่างแหไปด้วย เช่น สร้างอนาคตไทย ของ นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
แต่ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือ การเหยียดหยาม ส.ส.ไม่ต่างกับ “สุนัข” แม้ว่าจะพุ่งเป้าไปที่ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ที่เป็น “ลูกน้องเก่า” ที่เวลานี้ย้ายข้างมาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตาม แต่ก็ทำให้เห็นสภาพของ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย และที่น่าแปลกก็คือ จากกรณีที่เกิดขึ้น นายทักษิณ ได้ถูก นายเสกสกล ตอบโต้อย่างดุเดือด รุนแรง โดยเทียบเป็น “มหาโจร” ชั่วร้าย แต่ก็ยังไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้สักคนเดียว ผิดกับครั้งที่ผ่านมา จะเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ นายทักษิณ หรือแม้แต่คนในครอบครัวชินวัตร ถูกพาดพิง ก็จะดาหน้าออกมาปกป้อง แต่คราวนี้กลับเงียบกริบ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเกรงจะมีผลเกี่ยวเนื่องทางกฎหมายตามมา ในลักษณะที่เป็นการถูก “คนภายนอกครอบงำพรรค” ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายร้ายแรง หรือเป็นเพราะไม่กล้าไปยุ่งกับ “แรมโบ้” ที่คิดว่าได้ไม่คุ้มเสีย หรือไม่
แต่หากโฟกัสกันเฉพาะ ตัวต่อตัวระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ รอบนี้ ถือว่า “โทนี่ วู้ดซัม” เสียหายอย่างหนัก เพราะเป็นการ “ซ้ำเข้าที่แผลเก่า” และคนที่แฉ ก็เป็น “อดีตลูกน้องใกล้ชิด” ที่รับรู้ข้อมูลวงในมาอย่างดี เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยโดน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ด่าบนเวทีหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่มาแล้ว คราวนั้นมีคนมองว่า นายทักษิณ หมดท่าต้องมารบกับลูกน้องของตัวเอง แบบ “บินต่ำเรี่ยดิน”
นอกเหนือจากนี้ เขาเปิดข้อมูลเรื่อง “กล้วย” และ “วัคซีนเข็มใหญ่” มีมูลค่าถึง 20-30 ล้านบาท และรายจ่ายประจำ เดือนละ 2 แสนบาท ที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย บางคนไปร่วมประชุม โดยมีการพาดพิงไปที่ตัวเลข 260 ตามโพยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ความหมายที่เข้าใจได้ก็คือ มีพวก “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทย ที่อาจย้ายพรรค
เอาเป็นว่า งานนี้ นายทักษิณ ชินวัตร “กราด” ไปทั่ว แต่ผลที่สะท้อนกลับมา ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน แม้ว่าเป้าหมายหลักจะพุ่งตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องโค่นล้มให้ได้โดยเร็วก็ตาม แต่ตามรายทางเขาก็ได้ “แกว่งปาก” ไปทั่ว มันก็ย่อมเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับมาแรงเช่นกัน อย่างน้อยคำตอบโต้กลับมาด้วยข้อมูลจริงที่เคยรับรู้กันมานาน ก็ถูกซ้ำที่แผลเดิม ก็ยิ่งทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงชัดเจนขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ในคราวนี้จะเรียกว่า “ปากพาซวย” ก็อาจกล่าวแบบนั้นก็ได้ เหมือนกับว่า “ปากไม่มีหูรูด” ที่พูดผิดยุค ผิดสมัย อาจหลงลืมไปว่าตัวเองยังมี “อำนาจบารมี” เหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่เคยพูดอะไรก็มีแต่คนเออออ ไม่มีใครเถียง แต่ในปัจจุบันนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาไม่ได้เป็น “ศูนย์กลางของจักรวาล” แล้ว มันก็ถึงได้เห็นคนอย่าง “แรมโบ้” ด่าเสียยับเยิน แบบที่เรียกว่า “ด่าจนกลับบ้านไม่ถูก” อะไรประมาณนั้น แถมยังสร้างศัตรูไปทั่ว
แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่คือ ตัวตนของเขาที่มีนิสัยแบบนี้ติดตัวมานาน เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่ยุครุ่งโรจน์ของเขา เพราะมันได้ผ่านมาไกลแล้ว !!