เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าจะพยายามเข้าใจให้ได้ว่า ข้อความโพสต์ล่าสุดของ “กลุ่มแคร์ฯ” เกี่ยวกับคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังหลบหนีคดีในต่างประเทศ ที่อ้างคำกล่าวของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา นายทักษิณ ว่า “อยากฉลาดมาก จนอยู่เมืองไทยไม่ได้ ก็ไปเป็นเซอร์ (sir) อยู่ต่างประเทศ”
แน่นอนว่า ความหมายที่ “กลุ่มแคร์ฯ” พยายามสื่อออกมานั้น เพื่อต้องการให้สังคมได้เห็นถึงความเก่งกาจ ฉลาดหลักแหลมของนายทักษิณ ชินวัตร ในทำนองว่า “ฉลาดเกินใคร” หรือ “ฉลาดเกินหน้าเกินตา” นั่นเอง
ความหมายรวมๆ ก็คือ ต้องการให้เห็นว่า “นายทักษิณ เป็นคนเก่งและฉลาดมากนั่นเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกลุ่มดังกล่าวที่ชื่อเต็มว่า “แคร์ คิด เคลื่อนไทย” เป็นการรวมกลุ่มคนที่ล้วนเป็น “ลูกน้องเก่า” ที่ต้องการ “อวย” นายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากคำพูดของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือเรียกในชื่อใหม่ว่า “โทนี่ วู้ดซัม” ทีละคำก็จะเห็นความจริงที่ออกมาจากปากที่สะท้อนตัวตนของนายทักษิณ ได้อย่างดี แต่จะผิดจากความหมายที่ “กลุ่มแคร์ฯ” หรือ “กลุ่มลูกน้อง” ของนายทักษิณ พยายามสื่อออกมาไปอีกมุมหนึ่งอย่างแน่นอน
กลุ่มแคร์ฯ ยังระบุว่า“หลังจากที่พี่โทนี่ถูกรัฐประหารจนต้องออกจากประเทศไทยไป ปรากฏว่า ทางประเทศตองกา (ที่เพิ่งได้ถูกภัยพิบัติภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุจนเกิดคลื่นสึนามิสร้างความเสียหายอย่างหนักในเวลานี้) ได้เชิญพี่โทนี่ ไปบริหารเกาะหนึ่งในประเทศตองกา และจะแต่งตั้งพี่โทนี่ เป็น “ท่านเซอร์ (sir)” ด้วย แต่พี่โทนี่ปฏิเสธ พี่โทนี่เลยโทร.ไปเล่าให้คุณหญิง (พจมาน) ฟัง คุณหญิงจึงตอบว่า…
“อยากฉลาดมาก จนอยู่เมืองไทยไม่ได้ ก็ไปเป็นเซอร์ (sir) อยู่ต่างประเทศ” นี่แหล่ะโนะ บ้านนี้เมืองนี้ คนดีคนเก่งอยู่ยาก เหมือนกับคำโบราณท่านว่า “ทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย”
เพราะหากคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พูดถึง นายทักษิณ ว่า “อยากฉลาดมาก จนอยู่เมืองไทยไม่ได้ ก็ไปเป็นเซอร์ อยู่ต่างประเทศ” ในความหมายที่น่าจะไปอีกทางก็คือ “อยากอวดฉลาด จนไม่มีแผ่นดินอยู่” น่าจะออกมาแบบนี้มากกว่า เพราะหากย้อนดูพฤติกรรมของ นายทักษิณ ชินวัตร ขณะที่มีอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปี 2549 ที่ถูกรัฐประหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในขณะนั้น
โดยหากย้อนรอยให้เห็นก็จะพบว่า เป็นพฤติกรรมที่ “อวดฉลาด” คิดว่าตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะมีการ “แทรกแซง” ทุกองค์กรหลัก ทั้งสภา องค์กรอิสระ ความพยายามในการ “ติดสินบนศาล” การใช้อำนาจและสร้างนโยบายเพื่อ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” สร้างความร่ำรวยให้กับธุรกิจ รวมไปถึงพฤติกรรมเหิมเกริมที่ส่อให้เห็นการ “จาบจ้วง” สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย ทั้งการกระทำ และคำพูดที่ปรากฏหลักฐานให้เห็นอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ทั้งในช่วงที่ยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหลังจากถูกขับไล่พ้นตำแหน่ง จนต้องหนีออกนอกประเทศไปแล้วก็ตาม
และหากให้เดาใจจากคำพูดของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ที่เป็นอดีตภรรยา ถือว่าย่อมรู้จักนายทักษิณ ดีกว่าใคร คำพูดที่บอกว่า “อยากฉลาดมาก จนอยู่เมืองไทยไม่ได้ ต้องไปเป็น เซอร์ ในต่างประเทศ” นั่นแหละ ชัดเลย ที่คงอยากต่อท้ายความหมายของคำว่า “เซอร์” เป็น คำว่า “เซ่อ” แบบนี้ก็เป็นได้
ที่ผ่านมา หากพิจารณาถึงเหตุผลสนับสนุนว่า นายทักษิณ เป็นคน “อวดฉลาด” จากหลายเรื่องราว ที่บางครั้งมองว่าเป็นความ“มั่นใจในตัวเองสูง” แต่ขณะเดียวกัน อีกความหมายหนึ่งก็คือ “ขี้โม้” นั่นเอง และทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดมาตลอด ทั้งในเรื่องที่ “เหิมเกริมในอำนาจ” ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา มีแต่ “เจ้านาย” กับ “ลูกน้อง” ไม่มีเพื่อน อะไรประมาณนั้น และที่สำคัญ เขาไม่ใช่มีลักษณะความเป็นผู้นำ มีแต่ผลประโยชน์ และกำไรเท่านั้น
ในยุคที่พรรคพลังประชาชน ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งสามารถผลักดัน “นายกฯ นอมินี” หลายครั้ง แต่แทนที่จะมุ่งบริหารบ้านเมือง แก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน แต่กลับถูกกล่าวหาว่า “ทรยศต่อความไว้วางใจ” ของประชาชน นั่นคือ ความพยายามในการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เพื่อล้างความผิดให้กับตัวเอง จนนำไปสู่การต่อต้าน การประท้วงของคนนับล้านในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่เข็ด
ล่าสุด ยังประกาศอีกว่า “จะกลับบ้านกลางปีนี้” ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความมั่นใจของเขาอีกเช่นเคย โดยอาจจะมาจากการรับฟังข้อมูลจากคนใกล้ชิด และการประเมินสถานการณ์บางอย่าง หรือมองว่าเวลานี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกลุ่มอำนาจในนามกลุ่ม “สาม ป.” กำลังอยู่ในช่วงขาลงแบบวิกฤต จึงอาจสรุปเอาเองว่า ได้เวลาที่เขาจะต้องกลับมา และชาวบ้านต้องการตัวเขาให้เข้ามาแก้ปัญหา ถึงกับมั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะชนะแบบ “แลนด์สไลด์” และมีการส่งลูกสาวคนเล็กคือ แพทองธาร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ชินวัตร เข้ามาคุมพรรค ซึ่งจะไปแล้วก็เหมือนกับการทำร้ายลูกอีกคนนั่นแหละ เพราะสิ่งแรกที่ลูกสาวคนนี้ประกาศ ก็คือ “พาพ่อกลับบ้าน”
นั่นคือ ยังมั่นใจว่า ทุกอย่างยังอยู่ในมือเขา ทั้งที่สถานการณ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมากแล้ว ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ทั้งมวลชนที่แตกกระสานซ่านเซ็น ที่สำคัญ ผ่านมานานนับสิบปีหลายคนรับรู้และเห็นถึง “ธาตุแท้” ของเขาว่าเป็นอย่างไร หลายคนเริ่มรู้จัก นายทักษิณ ชินวัตร ดีขึ้น การบอกว่า “จะกลับบ้าน” ในความหมายก็คือ จะกลับมาแบบที่ไม่ต้องรับโทษ หรือมีความผิดจากคดีมากมายที่ก่อเอาไว้ หลายคดีถูกศาลตัดสินจำคุกไปแล้ว หลายคดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี
ดังนั้น คำพูดของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาดังคำกล่าวอ้างข้างต้น ถือว่า “อ่านขาด” กับความรู้สึกและพฤติกรรมของนายทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ในความหมายที่ว่า “อวดฉลาด จนไม่มีแผ่นอยู่ และต้องไป เซ่อในต่างแดน” ต่างหาก!!