เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่า เริ่มต้นปีใหม่ 2565 ไม่โสภาเอาเสียเลย หลังจากปีที่แล้วต้องเจอกับโรคระบาดโควิดต่อเนื่องมาเป็นปีที่สอง และทำท่าจะลุกลามต่อเนื่องเป็นปีที่สาม แต่นั่นไม่หนักหนาสาหัสซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกคนเท่ากับปัญหา “ของแพง” ซึ่งสินค้าอุปโภคบริโภคกำลังพาเหรดกันปรับขึ้นราคากันเป็นพรวน ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่อง “หมูแพง” เพียงอย่างเดียว เพราะต่อไปจะมีเรื่อง “ไข่แพง” ที่กำลังปรับขึ้นราคาไปแล้ว รวมทั้งยังมีสินค้าแทบทุกรายการที่กำลังทยอยขึ้นราคา
ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาราคาน้ำมันแพง ก็ทำให้ต้นทุนค่าขนส่ง ค่าโดยสารรถเมล์ เรือเมล์ ก็ต่างขยับปรับราคากันตามมา ที่เห็นล่าสุดเป็น “เรือคลองแสนแสบ” ที่ประกาศปรับราคาค่าโดยสารเพิ่มอีกหนึ่งบาทแล้ว
แน่นอนว่า “ของแพง” เป็นเรื่องใหญ่ และเป็น “จุดตาย” ของรัฐบาลมาหลายยุคสมัยแล้ว และคราวนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ที่กระแสโจมตีเริ่มพุ่งเป้าเข้ามาแล้ว ซึ่งเป้าหมายแรกก่อนหน้านี้จะมุ่งไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐบาล โดยเป็นเป้าหมายของฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่หวังล็อกเป้าการเมืองในภาพใหญ่ เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้แสดงท่าทีจะเปิดอภิปรายตาม มาตรา 152 ซึ่งเป็นการยื่นญัตติอภิปรายแบบไม่ลงมติ แม้ว่าในตอนแรกเป้าหมายจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยหยิบยกเอาเรื่องการการะบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่มาถล่ม คาดว่า จะยื่นญัตติดังกล่าวในในเดือนนี้ และคาดว่า จะมีการอภิปรายกันในในเดือนหน้าก่อนสิ้นสมัยประชุมสภาสมัยสามัญ ในเดือนกุมภาพันธ์
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าพยายามเลี่ยงที่จะทิ้งนำหนักในเรื่อง “ของแพง” ที่อยู่ในความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริหารจัดการกระทรวงที่เกี่ยวข้องแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกลายเป็นว่านี่คือแผน“แบ่งแยก” เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือเปล่า
เพราะหากมุ่งโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะถูกต้อง เพราะในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่การไม่แตะกับบางพรรค และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลโดยตรงอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก และส่อไปในทาง “ฮั้ว” หรือไม่
แต่ที่ถือว่าเดือดปุดร้อนระอุขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นคือ การกระทบกระทั่งระหว่างสองพรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคพลังประชารัฐ ที่ทุกอย่าง “เริ่มเบียด” เข้ามา โดยพาะจากสนามเลือกตั้ง และหลายพื้นที่ที่ทับซ้อนต้องแข่งขันเพื่อทั้งรักษาพื้นที่ และแย่งพื้นที่ในวันข้างหน้า ซึ่งดูเหมือนว่ามันเลี่ยงไม่ได้แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ต่างฝ่ายพยายามเก็บอาการในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังต้องใช้เวลาในการบริหารงานงบประมาณไปอีกสักระยะหนึ่งก็ตาม
มาวันนี้เมื่อมีปัญหาเรื่อง “ของแพง” ที่ลุกลามลงไปในสนามเลือกตั้งซ่อมในภาคใต้ โดยเฉพาะที่ จังหวัดสงขลาและชุมพร มันถึงได้เกิดความร้อนแรงแบบทะลุองศาเดือดขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่า ก่อนถึงวันเลือกตั้ง หากไม่มีการแตะเบรกก็น่าจะมีความเสี่ยงจนเกิดบานปลายจนควบคุมไม่อยู่ ก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาปัญหามันคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา
เริ่มจาก นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวโจมตี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในทำนองว่า บริหารงานล้มเหลว ประเภทไม่มีฝีมืออะไรประมาณนั้นทำให้เกิดปัญหาของแพง ทั้งในเรื่องหมูแพง รวมไปถึงสินค้าบริโภคอื่นๆ ที่ปรับราคาพุ่งสูงขึ้น
ทำให้ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง ว่า โดยส่วนตัวไม่ให้ราคากับนักการเมืองประเภทนี้ และไม่อยากถามหาคำว่ามารยาททางการเมือง เพราะพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่า คำนี้ไม่สามารถสร้างได้ภายในไม่กี่วัน เนื่องจากต้องมาจากจิตใต้สำนึกที่แท้จริง ซึ่งในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภค ทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนกำลังเร่งแก้ปัญหา ไม่มีใครปล่อยปละละเลย
“นักการเมืองที่ดีต้องพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม อย่างสร้างสรรค์ ต้องมีวุฒิภาวะ นักการเมืองที่พูดอย่าคิดว่าตนวิเศษกว่านักการเมืองคนอื่น ชาวบ้านมองออก เวลานี้ควรหยุดโจมตีกันในทางการเมือง แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานจะเกิดประโยชน์มากกว่า” นายราเมศ กล่าว
แต่ที่น่าจับตาเพราะร้อนแรงไม่แพ้กัน ก็คือ คำพูดของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบ เราเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีปัญหาเลย มีอะไรจะสอบถามในสภาก็ยินดีตอบ เกี่ยวข้องกระทรวงไหนก็ควรถามกระทรวงนั้น เพื่อให้กระทรวงนั้นได้ตอบเพื่อคลี่คลายความสงสัย หรือข้อข้องใจ สำหรับกระทรวงพาณิชย์ หากมีอะไรจะถามก็ยินดีตอบ เราก็ตอบตลอดไม่ต้องห่วง
ส่วนที่พรรคร่วมรัฐบาลกล่าวพาดพิงพรรคการเมืองเก่าแก่ บริหารงาน ล้มเหลว ไร้ศักยภาพ ในเรื่องปัญหาราคาหมู ในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการเลือกตั้งซ่อมที่สงขลา และชุมพร นั้น ตนไม่ทราบว่าพรรคไหน แต่ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา เราทำงานด้วยความสุจริต อะไรตอบได้ก็ตอบ อะไรตอบไม่ได้ก็บอกตรงๆ ว่าไม่ได้ เพราะเหตุผลอะไร มันเกินอำนาจเราหรือเปล่า แต่ถ้าอยู่ในอำนาจ อะไรตอบได้ก็ยินดีตอบไม่มีความลับ เพราะทำงานตรงไปตรงมา
“ไม่อยากไปพูดว่ามันใกล้เลือกตั้งซ่อมแล้ว เพราะพูดไปเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องการเมืองโดยไม่จำเป็น ขอเป็นเรื่องการทำหน้าที่ ซึ่งหลักการทำหน้าที่ของผมนั้น เราเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะฉะนั้นมีคำถามอะไรก็ยินดีตอบ ถามนอกสภาก็ยินดีตอบ ถามในสภาก็ยินดีตอบ ไม่มีปัญหาอะไรเลย” นายจุรินทร์ กล่าว และยังกล่าวถึงบางพรรคที่ใช้อำนาจรัฐเข้ามาเอื้อประโยชน์ให้กับบางพรรค
“ขอฝากว่าไม่ว่าพรรคไหนก็ตามอย่าทำ และไม่ควรทำ มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และมันทำลายความชอบธรรม ทำลายความยุติธรรมในการเลือกตั้ง และทำลายระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว
ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็ได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าใช้เวลาราชการ และใช้อำนาจรัฐแทรกแซงการเลือกตั้งซ่อมดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าเขาใช้เวลานอกราชการมาช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียง อย่ามาใส่ร้ายกัน
กลายเป็นว่า ทั้งสองเรื่องรวมเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งเรื่องเลือกตั้งซ่อม และ “ของแพง” และกำลังเปิด “รอยปริ” ภายในพรรคร่วมรัฐบาลให้ถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ และแม้ว่าหากจะโฟกัสทีละเรื่องก็ต้องบอกว่า ปัญหาสินค้าราคาแพง หรือของแพงนั้น รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นผู้บริหารและควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งสองกระทรวง คือ พาณิชย์ ที่เวลานี้มีแต่รัฐมนตรีในสังกัดของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด
ส่วนกระทรวงเกษตรฯ ก็มีลักษณะเดียวกัน อำนาจในการกำกับดูแลอยู่ในมือของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังจากที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกปลดพ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ หน่วยงานเหล่านั้นก็ถูกดึงกลับมาบริหาร รวมไปถึงอำนาจในการกำกับดูแลกระทรวงที่ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหาไม่พอใจที่มีแต่งตั้งให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับผิดชอบ แต่เมื่อคอมเมนต์ ออกมาทำให้ นายกรัฐมนตรีต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ ให้นายจุรินทร์ มาดูแลแทน
ดังนั้น หากพิจารณาทั้งสองเรื่อง คือ เรื่องการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลสองพรรคดังกล่าว คือ ประชาธิปัตย์ กับพลังประชารัฐ ที่ต้องโจมตีกันอย่างหนักในสนามเลือกตั้งซ่อมแล้ว ยังมีเรื่องร้อน คือ “ของแพง” ที่จะว่าไปแล้ว งานนี้มาได้จังหวะพอดี นั่นคือ ถล่มเข้าเป้าประชาธิปัตย์เข้าจังเบอร์ และมาแรง แต่หากพิจารณาโดยภาพรวมๆ แล้ว น่าจะอ่วมกันทั้งรัฐบาล !!