น่าฟัง! “อดีตผู้พิพากษา หน.ศาลฎีกา” เสนอแก้คดีทุจริตไม่ควรลดโทษ ซัดทำผิดเกณฑ์ แฉ เคยมีกรณีเรียกสินบนเลื่อนชั้นนักโทษ “สมชาย” เผย “ขบวนการ” ปั้นจัดเกรดคน VVIP ลดโทษสุดซอย “หมอเหรียญ” ค้านเดือด ลดโทษโกงชาติ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 ธ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสตฺประเด็น “อดีตผู้พิพากษา หน.ศาลฎีกา” ฟันธง! คดีทุจริตไม่ควรลดโทษ! ซัดทำผิดเกณฑ์ เผย เคยมีเรียกสินบนเลื่อนชั้นนักโทษ
โดยระบุว่า วันนี้ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีการลดโทษให้กับนักโทษ ตามที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมากในขณะนี้ โดยระบุข้อความว่า
กรณีการลดโทษผู้ที่ถูกลงโทษจำคุก แต่ได้รับโทษน้อยกว่าโทษตามคำพิพากษามากมายที่สังคมกล่าวถึงโวยวายกันอยู่ในปัจจุบันนั้น เกิดจากปัญหา ๒ ประการคือ
๑. การกำหนดชั้นของนักโทษว่าเป็นนักโทษชั้นไหน คือ ชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก ชั้นดี และชั้นกลาง นั้น มีหลักเกณฑ์อย่างไร และใครเป็นผู้กำหนด เพราะในแต่ละชั้นของนักโทษจะได้รับการลดโทษต่างกันมาก กรณีนี้โอกาสที่ผู้มีหน้าที่อาจมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องได้ ดังที่เคยมีข่าวมีผู้ร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่เรือนจำเรียกร้องเงินเพื่อเลื่อนชั้นนักโทษ แต่ข่าวดังกล่าวก็เงียบหายไป
๒. การลดโทษในแต่ละครั้ง เป็นการลดโทษจากโทษตามคำพิพากษาของศาล ไม่ใช่ลดโทษจากโทษที่ผู้ถูกจำคุกยังต้องถูกจำคุกอยู่ในขณะมีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
นาย ก. ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ๔๐ ปี ได้รับการลงโทษมาแล้ว ๓ ปี เหลือต้องรับโทษอีก ๓๗ ปี มีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ขณะนั้นนาย ก. เป็นนักโทษชั้นดีมากได้รับการลดโทษ ๑ ใน ๓ โทษที่ได้ลดคิดจาก ๔๐ ปี ไม่ใช่คิดจาก ๓๗ ปี จึงได้ลด ๑๓ ปี ๔ เดือน (ถ้าลดจากโทษที่เหลือ ๓๗ ปี ได้ลดเพียง ๑๒ ปี ๔ เดือน) เมื่อนำโทษที่ได้ลดไปลบโทษที่เหลือ ๓๗ ปี ก็จะเหลือโทษที่ต้องจำคุกอีก ๒๓ ปี ๘ เดือน
นาย ก. ถูกจำคุกต่อมาอีก ๑ ปี ๘ เดือน เหลือโทษที่ต้องจำคุก ๒๒ ปี ก็มีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษอีก ขณะนั้นนาย ก.ได้เลื่อนเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม จึงได้ลดโทษ ๑ ใน ๒ โทษที่ได้ลดคิดจากโทษตามคำพิพากษาของศาลคือ ๔๐ ปี โทษ ๑ ใน ๒ ของ ๔๐ ปี ก็คือ ๒๐ ปี (ถ้าลดจากโทษที่เหลือ ๒๒ ปี ได้ลดเพียง ๑๑ ปี) เมื่อนำไปลบโทษที่เหลือ ๒๒ ปี ก็จะเหลือโทษที่ต้องจำคุกอีก ๒ ปี
รวมแล้วนาย ก. ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษ ๔๐ ปี แต่ได้รับโทษจำคุกจริงเพียง ๖ ปี ๘ เดือน (๓ ปี + ๑ ปี ๘ เดือน + ๒ ปี) เท่านั้น ถ้าต้องการแก้ไขเรื่องนี้ก็แก้ได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบว่าต้องการแก้ไขหรือไม่
๑. กำหนดหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นนักโทษให้ชัดเจน โดยป้องกันการวิ่งเต้นหรือหาผลประโยชน์จากผู้มีอำนาจหน้าที่ให้ได้อย่างเด็ดขาด เรื่องนี้สำคัญที่สุด ถ้าไม่แก้ไขหรือแก้ไขไม่ได้ผู้ที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ๓๐-๔๐-๕๐ ปี แต่ถูกจำคุกจริงไม่ถึง ๑๐ ปี จะมีให้เห็นกันตลอดไป
๒. การลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ต้องคิดลดโทษจากโทษที่ผู้ต้องโทษยังต้องได้รับโทษอีกต่อไป ในขณะที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาฯไม่ใช่ลดจากโทษตามคำพิพากษาของศาล เช่น ศาลพิพากษาลงโทษ ๒๐ ปี ได้รับโทษมาแล้ว ๔ ปี จึงเหลือโทษ ๑๖ ปี ถ้าได้ลดโทษต้องคิดจาก ๑๖ ปี ไม่ใช่คิดจาก ๒๐ ปี อย่างปัจจุบัน
๓. ผู้ที่ถูกลงโทษฐานทุจริตคอร์รัปชันและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษไม่ควรได้รับการลดโทษให้ หรือหากจะลดให้ก็ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโทษตามคำพิพากษาของศาลจึงจะมีสิทธิได้รับการลดโทษ
ในขณะที่ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความว่า #ร่วมคัดค้านนิรโทษกรรมจำนำข้าวสุดซอย #เรื่องนี้ต้องแก้ไขไม่ใช่แก้ตัว #ทุจริตจำนำข้าว9แสนล้านเป็นคดีพิเศษไม่เข้าเกณฑ์ลดโทษปกติ #โกงจำนำข้าวทำเป็นขบวนการฉันใดขบวนการนิรโทษกรรมสุดซอยก็ทำฉันนั้น
อย่ากล่าวอ้างแค่ทำถูกกฎหมายและข้อบังคับ เพราะ…คนเขียนกันเองทั้งนั้น มีขบวนการก็ช่วยกันปั้นจัดเกรดเอาคน VVIP ที่ต้องการลดโทษสุดซอยไปใส่ในตะกร้า “เกรดดีเยี่ยมพรีเมียม” กินหรูอยู่สบาย … รอเวลาสวมรอยเข้าเงื่อนไข…วันสำคัญ เข้ากติกาลดโทษ 90% ทำเป็นขบวนการทั้งอุกอาจและฉ้อฉล #คดีทุจริตไม่มีอายุความหรือจะสู้ทุจริตไม่ติดคุกจริง #อย่าปล่อยคนชั่วลอยนวล #ร่วมคัดค้านนิรโทษกรรมสุดซอยคดีทุจริตโกงชาติ
สำหรับคนที่ได้รับการลดโทษ คือ 1. นายภูมิ สาระผล จากโทษจำคุก 36 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 8 ปี 2. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กำหนดโทษจำคุก 48 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 10 ปี 3. นายมนัส สร้อยพลอย กำหนดโทษจำคุก 40 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 8 ปี 4. นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง) กำหนดโทษ 48 ปี ล่าสุด เหลือวันต้องโทษ 6 ปี 3 เดือน 5. นางจุฑามาศ ศิริวรรณ กำหนดโทษ 75 ปี ล่าสุดเหลือวันต้องโทษ 9 ปี 5 เดือน
โดยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาชี้แจงว่า การบริหารโทษและการพิพากษากำหนดโทษเป็นคนละส่วนกัน ภายใต้กรอบอำนาจที่แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ภายใต้อำนาจตามกฎหมายของแต่ละฝ่าย ซึ่งการบังคับโทษทางอาญา คือ การบริหารโทษ เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ที่ดำเนินการได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย
“ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจโดยพลการ หรือเลือกปฏิบัติให้ผู้หนึ่งผู้ใด แต่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ สำหรับพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ เป็นกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมไม่ได้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขโทษ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษเช่นกัน
การบังคับโทษ โดยปกติในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่จะบังคับโทษทั้งสิ้นตามคำพิพากษา แต่จะมีกลไกทางกฎหมายอื่นๆ มาบริหารโทษ ให้เป็นไปตามความเหมาะสม เช่น ลักษณะและพฤติการณ์แห่งคดี โดยมุ่งเน้นให้ผู้กระทำผิดได้รับโอกาสให้กลับตนเป็นพลเมืองที่ดี พร้อมกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข ขอให้ลองนึกภาพย่อลงมาในระดับครอบครัว เชื่อว่า ไม่มีพ่อ และแม่คนใดที่จะที่ลงโทษลูกจนครบ หรือ ตีลูกจนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนมากก็จะเอาแต่พอสมควร คือ การให้อภัย การให้โอกาส เพื่อให้คนในครอบครัว ได้อยู่อย่างปกติสุข”
ด้าน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กต่อกรณีความเห็นนายสมศักดิ์ ว่า
“สนับสนุนให้ลุงตู่ปลดสมศักดิ์ออกจากรัฐมนตรี ข้อหาตรรกะวิปลาส ขาดหลักเหตุผล อาศัยช่องว่างระเบียบกฎหมาย ลดโทษจนนักโทษโกงชาติ ได้รับอภิสิทธิ์ แต่ก็น่ะลุงตู่จะกล้าไหม”
ขณะที่เพจดังอย่าง ปราชญ์ สามสี ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเรื่องที่นายสมศักดิ์ ออกมาชี้แจงด้วยว่า อย่าคิดว่าเป็นสลิ่มแล้ว ไม่ด่ารัฐมนตรี อย่างสมศักดิ์ในรัฐบาลนะครับ
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการเสนอชื่อขอลดโทษตามขั้นตอน จะมาอ้างพ่ออ้างแม่เพื่อ??? เป็นพ่อบุญทรง-เสี่ยเปี๋ยง ฯลฯ รึครับ”
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น บานปลาย! หมอเหรียญ เดือด ขู่ถวายฎีกา ค้าน ยธ.ลดโทษพวกโกงชาติ ท้าไม่พอใจฟ้องมาเลย!
เนื้อหาระบุว่า พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความว่า
“การอาศัยช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่นักการเมือง และลิ่วล้อโกงชาติ โดยกระทรวงยุติธรรม อย่างไม่คำนึงถึงความรู้สึกรู้สำนึกของวิญญูชนของสังคมโดยรวม ทั้งยังนำมาซึ่งความเสียหายต่อพระเกียรติยศ ถือเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่งของกระทรวงยุติธรรม หากไม่ใช่เพราะผมเกรงการระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทแล้ว ผมจะขอถวายฎีกาคัดค้านกระทรวงยุติธรรมเพื่อปกป้องพระเกียรติยศจากการกระทำไม่บังควรนี้ของกระทรวงยุติธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกานั้น ถือว่าเป็นคำพิพากษาที่ดำเนินการภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์อันเป็นที่สุดแล้ว เมื่อพิพากษาตัดสินให้จำคุกนักการเมืองและลิ่วล้อโกงชาติต้องจำคุกหลายสิบปี แต่กระทรวงยุติธรรมกลับอาศัยช่องทางการลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่นักโทษโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อบรรทัดฐานความดีงามอันถือเป็นรากฐานของความสงบสุขเรียบร้อยของสังคมและประเทศชาติ
กระทรวงยุติธรรมได้ทำลายบรรทัดฐานการรู้ดี รู้ชั่ว และนำพาสังคมโดยรวมไปสู่ความจัญไร ไม่เคารพเกรงกลัวต่อกฎหมาย ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบหลักของกระทรวงยุติธรรม การกระทำการของกระทรวงยุติธรรมอย่างไม่เกรงความรู้สึกของสังคมโดยรวมเช่นนี้ ย่อมถือว่ากระทรวงยุติธรรมนั้นไร้สำนึกในความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ทั้งยังอาศัยช่องทางการบริหารราชการแผ่นดิน ถึงแม้จะถูกต้องด้วยแนวทางที่กระทำได้ แต่ไม่ถูกต้องด้วยสำนึกของมหาชนในความดีงาม รู้การรับผิด กระทรวงยุติธรรมได้อาศัยช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษโดยไม่บังควร
กระทรวงยุติธรรมไม่พอใจก็เชิญใช้อำนาจสามานย์ฟ้องหมิ่นประมาทผมได้
….ชิบหาย
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ความไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ที่ผู้รู้หลายคนออกมาตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัย โดยเฉพาะการเลื่อนชั้นนักโทษ ซึ่งเคยมีการเรียกรับสินบนมาก่อน นั่นแสดงให้เห็นอะไร คิดหรือว่า ปัจจุบันไม่มีแล้ว? และการทำผิดหลักเกณฑ์การนับโทษที่ได้ลด จนทำให้เหลือน้อยแบบค้านสายตาสาธารณชน
ยิ่งกว่านั้น บางคนยังสะท้อนให้เห็นว่า อาจมีขบวนการปั้นชั้นนักโทษสำหรับนักการเมืองคดีดัง เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในการได้ลดโทษหรือไม่? ซึ่งคำชี้แจงของ “สมศักดิ์” รมว.ยุติธรรม ก็แค่อธิบายหลักเกณฑ์ ตามกฎหมาย แถมไม่รู้สึกรู้สากับ ความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นจากการลดโทษอย่างมากผิดสังเกตแต่อย่างใด
เอาแค่สามัญสำนึกของคนที่เป็นผู้บริหาร ไม่รู้สึกอะไรกับนักโทษที่ถือว่า ทำผิดร้ายแรงโกงกินชาติบ้านเมือง ซึ่งการรับโทษก็เพื่อต้องการให้เข็ดหลาบที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง แต่ถ้าลงโทษกันแค่นี้ ใครจะไปกลัวคดีทุจริต เพราะติดคุกไม่กี่ปีพรรคพวกนักการเมืองด้วยกันก็ช่วยออกมาแล้ว? หรือ เงินซื้อโทษให้ลดลงได้? เอาเงินซ่อนไว้ ไม่กี่ปีก็ออกมาใช้จ่ายอย่างเปรมอุรา ใครจะไม่อยากโกง อย่างนี้นักการเมืองคงได้สนุกกันแน่???
เหนืออื่นใด นี่ยังไม่นับ ขบวนการ 3 นิ้ว ต่อสู้ให้นักการเมือง เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ลองคิดดูว่า ถ้าทำสำเร็จ นักการเมือง จะกลัวอะไร ภาษีประชาชนจะเหลืออะไร นี่ขนาดมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังขนาดนี้ คิดดูให้ดีก็แล้วกัน