ยอมรับสู้ไม่ได้! “ปิยบุตร” ขอประนีประนอม! สั่งม็อบปรับยุทธวิธี สู้แบบเดิมหน้าชนกำแพง มีแต่แพ้-วอนฝ่ายอนุรักษ์เมตตา “อดีตรองอธิการฯ มธ.” ชำแหละ “3 นิ้ว” “สังคมที่ดีกว่า” ไม่เกิด “เทพมนตรี” ดักคอ “รุ้ง” เตรียม “ลี้ภัย”?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 ธ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น ปิยบุตร ขอประนีประนอม! สั่งม็อบปรับยุทธวิธี สู้แบบเดิมหน้าชนกำแพงมีแต่แพ้-วอนฝ่ายอนุรักษ์มีเมตตาบ้าง!
โดยระบุว่า จากกรณีวันนี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ไลพ์สด ณ ที่ทำการคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ แถลงความเห็นแย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีล้มล้างการปกครองฯ โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล โดยมีเนื้อหาบางช่วงที่น่าสนใจว่า
ข้อเสนอประนีประนอมเพื่อหาทางออกร่วมกันกับทุกฝ่าย ฝ่ายแรกคือ กลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการนำเสนอการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ฝ่ายเยาวชนคนหนุ่มสาว ประชาชน ที่รวมตัวกันในชื่อ “ราษฎร” จำเป็นต้องปรับวิธีการรณรงค์ วิธีการเรียกร้องเสียใหม่
ตรงนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการห้าม ไม่ใช่เป็นเรื่องของการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ใช่เป็นเรื่องของการถอย แต่มันต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา การชุมนุมที่พุ่งถึงขีดสุดเมื่อปีที่แล้ว เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบหนึ่ง แต่ ณ วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป กลไกรัฐเดินหน้าบดขยี้อย่างเต็มที่ ข้อเรียกร้องที่พูดมาไม่ได้รับการตอบสนอง
หากใช้ยุทธวิธีเดิมต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างอะไรกับการเอาหน้าเดินชนกำแพง หากให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้จริง ไม่สามารถใช้พลังของเยาวชนคนหนุ่มสาวเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของสถาบันการเมืองต่างๆ ของผู้ถืออำนาจรัฐ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และองคาพยพรายล้อมต่างๆ ด้วย
ดังนั้น จำเป็นต้องพิจารณาว่าการนำเสนอข้อเสนอต่างๆ ทำอย่างไร ให้ฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายรอยัลลิสต์ยอมที่จะฟัง ยอมที่จะถกเถียงด้วยเหตุด้วยผล คิดว่าการใช้วิธี หรือท่าทีแบบเดิม ไม่มีทางให้เวทีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นได้แน่นอน
ประกอบกับกลไกรัฐพร้อมบดขยี้ กระบวนการนิติสงครามเดินเครื่องเต็มที่ ตั้งข้อหาทุกอย่างเต็มไปหมด เมื่อราษฎร ไม่ได้มีอำนาจรัฐในมือ เป็นปัจเจกบุคล เป็นพลเมืองมือเปล่า จะสู้กับอำนาจรัฐที่ครบครันแบบนี้มันยากลำบากแน่นอน เห็นว่า จำเป็นต้องปรับวิธี เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนวิธีการรณรงค์ เพื่อให้ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้มีพัฒนาการ มีความคืบหน้า หรือนำไปสู่ผลสำเร็จได้บ้าง หากเดินแบบเดิมเชื่อว่าไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ
ส่วนข้อเสนอฝากพรรคการเมืองต่างๆ และ ส.ส. คิดว่า บทบาท ส.ส. ย่อมมีความเป็นผู้นำวาระให้กับสังคม บางช่วง ส.ส. และพรรคการเมืองอาจเป็นผู้ตาม บางช่วงสถานการณ์แหลมคม เกิดวิกฤตการณ์มากขึ้น เราจำเป็นต้องมี ส.ส. และพรรคการเมืองที่เป็นผู้นำของสังคม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา แก้วิกฤต ยุติความเห็นแตกต่างกันเรื่องปฏิรูปสถาบันฯ จากผ่อนหนักเป็นเบาได้ ถ้าหากสถาบันการเมือง นำข้อเสนอเหล่านี้ไปผลักดัน ไม่ต้องทั้งหมด แม้เพียงเล็กน้อย แม้เพียงบางส่วนก็ยังดี เพราะนั่นจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า สถาบันการเมืองในระบบได้เปิดพื้นที่เหล่านี้บ้าง แม้เล็กน้อยก็ยังดี
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ข้อเสนอสุดท้ายถึงฝ่ายอนุรักษนิยม จำเป็นต้องเปิดใจ เปิดพื้นที่ให้กว้างกว่านี้ เข้าใจดีว่าในความคิด ทัศนคติของพวกท่าน ไม่เหมือนกับเยาวชนคนหนุ่มสาวในรุ่นปัจจุบัน ในชั่วชีวิตของท่านไม่เคยเห็นคนรุ่นๆ หนึ่งแสดงออกถึงขนาดนี้ อาจตกใจ อาจกังวลจนนำไปสู่ความเกลียดชัง นำไปสู่ความกลัว แต่คิดว่าเราใช้หลักเมตตาธรรมในฐานะเพื่อนร่วมชาติ คำว่าภราดรภาพที่ว่านี้แหละ เปิดพื้นที่ให้กับเขา ในเมื่อเป็นข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นแล้วว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวมองไม่เหมือนคนรุ่นตน หรือรุ่นก่อนตน
เข้าใจดีว่า หลายท่านไม่สบายใจ ไม่พอใจต่อท่าทีในการแสดงออกของเยาวชนหลายครั้ง แต่ให้อภัยต่อกัน ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เข้าใจดีว่าถ้าท่านเคารพสถาบันฯอย่างสูงสุด แล้วใครมาแสดงต่อสถาบันฯในแบบนี้ คงไม่พอใจ คงไม่สบายใจ นี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เสนอว่าให้ใช้หลักเมตตาธรรมเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ถ้าหากไม่ใช้เรื่องเหล่านี้ แต่เลือกใช้อำนาจกด ใช้กลไกรัฐบดขยี้ กฎหมายจัดการ คิดว่าจะไม่นำไปสู่สถานการณ์ดีขึ้น นอกจากไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้แล้ว ทำให้ความคิดเขาเตลิดไปไกลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนำมาซึ่งการปะทะกันระหว่างรุ่น และการปะทะนี้ไม่ใช่เรื่องของคนภาคใดปะทะกับภาคใด คนเชียร์พรรคใดปะทะคนเชียร์พรรคใด บางคนเป็นสมาชิกครอบครัว บางคนเป็นลูกศิษย์ บางคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราไม่สามารถไล่ใครออกได้ เราต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าฝ่ายอนุรักษนิยมเห็นแก่อนาคตบ้านเมือง ขอให้เปิดพื้นที่แก่พวกเขามากขึ้น
ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Harirak Sutabutr” ระบุว่า
“คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุด 3 ประการของกลุ่ม 3 นิ้ว ที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และเรียกผู้เห็นต่างว่า ฝ่ายเผด็จการ คือ
1. มักให้ความจริงเพียงเสี้ยวเดียว
เช่น
“แค่สงสัยการทำงานเรื่องวัคซีนของรัฐบาล กลับถูกดำเนินคดี”
ความจริงคือ ตั้งข้อกล่าวหาว่า รัฐบาลต้องการช่วยบริษัท Siam Bioscience ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงจัดตั้ง และปัจจุบันเป็นของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ จึงไม่ไปติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนยี่ห้ออื่น นอกจาก Astra Zeneca ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์เนื่องจากได้รับวัคซีนช้าเกินไป
การตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าว สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริง แต่เป็นผลให้ประชาชนที่หลงเชื่อ เกิดอคติ ไม่ยอมรับวัคซีนยี่ห้ออื่นที่รัฐบาลมีให้ ต้องการแต่ฉีดวัคซีนของ Pfizer หรือ Moderna ที่รับบาลยังไม่มีให้เท่านั้น ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ซึ่งเชี่ยวชาญทางไวรัสวิทยาออกมาประกาศว่า วัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่ฉีดได้เร็วที่สุด กลับถูกโจมตีอย่างสาดเสียเทเสีย และยังคงโจมตีทุกเรื่องที่ ศ.นพ.ยง ออกมาให้ข้อมูลหรือให้ความเห็นทุกเรื่องจนถึงปัจจุบัน
เช่น
“พวกเขาเพียงแค่เห็นต่างทางการเมือง ก็ถูกดำเนินคดี”
ความจริงคือ ไม่เพียงแค่เห็นต่าง แต่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และก่อความรุนแรง ใช้อาวุธ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ และเผาทรัพย์สินของส่วนรวมนับครั้งไม่ถ้วนซึ่งผิดกฎหมายทั้งมาตรา 112 และ 116
เช่น
“เป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในการแสดงออกอย่างสันติ”
ความจริงคือ รัฐธรรมนูญระบุว่า การใดที่ไม่ได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้น ... ไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น
เช่น
“ปฏิรูป ไม่เท่ากับ ล้มล้าง”
ความจริงคือ ข้อเสนอ 10 ข้อ ที่อ้างว่า เป็นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้น แท้จริงแล้วไม่ต่างกับการล้มล้าง การเปิดให้ใครก็ได้สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ และให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของพระมหากษัตริย์ การไม่ให้พระมหากษัตริย์ทรงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ การไม่ให้รับบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศล การยกเลิกมาตรา 112 เพียงเท่านี้ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมลงอย่างแน่นอน และทำให้การมีก็เหมือนไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง ยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำต่างๆที่เป็นการข่มขู่ ย่ำยีกล่าวหา ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ล้อเลียน ที่ล้วนเป็นความพยายามทำให้เกิดความเสื่อมถอยของสถาบันพระมหากษัตริย์ คำว่าปฏิรูปจึงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
เช่น
“คณะก้าวหน้าคว้าชัย 38 อบต. เดินหน้าบริหารท้องถิ่น” (พาดหัวข่าวอยู่ในหน้าของสำนักข่าว 3 นิ้วแห่งหนึ่ง)
ความจริงคือ คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครทั้งหมด 196 ที่นั่ง จากทั้งหมด 5,329 ที่นั่ง ได้มา 38 ที่นั่ง ในขณะที่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เป็นคู่แข่งได้ชัยชนะกว่า 5,000 ที่นั่ง แต่พาดหัวข่าวเสียยังกับคณะก้าวหน้ากวาดที่นั่งไปได้แบบถล่มทลาย
2. ใครที่เห็นต่างคือผิด เป็นคนไม่ดี ถือเป็นศัตรู
ตัวอย่างเช่น ใครก็ตามที่ไม่ได้ต่อต้านการทำรัฐประหาร ไม่ว่าครั้งใด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เท่ากับเป็นพวกเผด็จการ เท่ากับเป็นคนไม่ดี
ล่าสุดกรณี “ลูกหนัง” ศรีตลา วงษ์กระจ่าง ลูกสาวคุณ ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ที่มีข่าวว่าจะได้เข้าร่วมกับ Kpop ที่เกาหลี แทนที่จะยินดี กลุ่ม 3 นิ้วกลับเรียกร้องให้แบน โจมตีลูกหนังอย่างไม่เป็นธรรม เพียงเพราะพ่อของลูกหนัง มีส่วนอย่างสำคัญในการประท้วงขับไล่รัฐบาลที่เขาเชื่อว่า กำลังสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล ตั้งแต่สมัยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่ม 3 นิ้ว ถือว่าประท้วงขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นความผิด ว่าเป็นเผด็จการ ไม่เพียงแต่พ่อเท่านั้น ความผิดยังตกมาถึงลูก คือตัวลูกหนังด้วย จึงต้องช่วยกันถล่มไม่ให้ได้ผุดได้เกิด แต่หากพวกตัวเองทำอะไรที่เป็นความผิดแน่ๆ ล้วนพากันเงียบกริบ ไม่ส่งเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
3. เชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้นเหตุแห่งความเหลื่อมล้ำ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน เป็นอุปสรรคต่อความเจริญของประเทศ และต่อการมีรูปแบบสังคมที่ตัวเองต้องการ
ความพยายามในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อ้างว่า เป็นการปฏิรูป พฤติกรรม การแสดงออก และการกระทำของกลุ่ม 3 นิ้วต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในม็อบและใน social media ตลอดปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันถึงความจริงข้อนี้อย่างไม่ต้องสงสัยอ้นใดอีก
กลุ่ม 3 นิ้วอ้างเสมอว่า พวกเขาเพียงต้องการสังคมที่ดีกว่า ถือเป็นความผิดด้วยหรือ ก็อยากจะขอบอกว่า ไม่ผิด หากพวกเขาไม่ไปล่วงละเมิดผู้อื่น แต่หากคนไทยทุกคน หรือคนไทยส่วนใหญ่มีคุณลักษณะ 3 ประการข้างต้นของพวก 3 นิ้ว สังคมที่ดีกว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึง น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ระบุว่า
“พรุ่งนี้อยากเห็นศาลถอนประกันรุ้ง ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะปูพื้นฐานจากคดีอาญา ให้กลายเป็นคดีการเมือง ถ้าแม้ UNSCR จะเข้ามาช่วยเหลือ ช่องทางธรรมชาติอาจเป็นหนทางที่เธอเลือก
การเตรียมการลี้ภัยมีแนวโน้มสูงมาก
การโดนปรับแค่เงิน 90,000 บาท มันเล็กน้อยมากกับคดีความทางอาญาที่เธอโดนหลายคดี อัตราโทษจำคุกหลายสิบปี อาจารย์ที่ค้ำประกันเธอไว้จะได้รับโทษอะไร มีกฎหมายอะไรจะลงโทษได้
สังคมไทยอ่อนแอเรื่องนี้ นักโทษคดีอาญาไปกองรวมกันที่ฝรั่งเศสและในอเมริกาเป็นจำนวนมาก และสามารถหลบหนีไปได้แบบตั้งใจ”
แน่นอน, เรื่องทั้งหมด ทำให้เห็นได้ชัดว่า ขบวนการ 3 นิ้ว กำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างถึงขีดสุด
เห็นได้จาก “กุนซือใหญ่” อย่าง “ปิยบุตร” ที่ อ.สุวินัย ภรณวลัย เรียกว่า “หัวโจก” ออกมาเคลื่อนไหววันนี้ เพื่อ “ขอประนีประนอมกับทุกฝ่าย” โดยมีสาระสำคัญ ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นยอมยกธงขาว แต่ก็ยอมรับว่า สู้ไปแบบเดิมก็ไม่ต่างจากเอาหน้าชนกำแพง มีแต่แพ้ ข้อเสนอคือ ปรับยุทธวิธีใหม่ ส่วนปรับอย่างไร ยังไม่เปิดเผยชัดเจน
ขณะที่ อ.เทพมนตรี ไม่รู้ว่าได้กลิ่นอะไร ออกมาดักคอ “รุ้ง” อย่างแรง ว่าอาจกำลังเตรียม “ลี้ภัย” จากความพยายามที่ปูความผิดคดีอาญา (112) มาเป็นคดีการเมือง แถมยังคาดการณ์การเดินทางออกนอกประเทศเอาไว้ด้วยว่า น่าจะเป็นเส้นทางธรรมชาติ?
อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ “แอมเนสตี้ฯ” ก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ด้วยการล่าชื่อคนทั่วโลกล้านชื่อ เพื่อกดดันให้ทางการไทยหยุดดำเนินคดีแกนนำ 3 นิ้ว เพียงแค่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล ทั้งที่ความจริง แกนนำ 3 นิ้ว ทำผิด ม.112 อันเป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียว อย่างที่ รศ.หริรักษ์ อดีตรองอธิการบดี มธ. ว่าเอาไว้
สุดท้าย เรื่อง “ปิยบุตร” ประกาศขอประนีประนอม และเรื่อง “รุ้ง” เตรียมลี้ภัยทางการเมือง? ก็ล้วนเห็นได้ชัดว่า จุดจบของม็อบ 3 นิ้วมาถึงแล้ว
เอาเป็นว่า หลังจากนี้ แกนนำที่ถูกดำเนินคดี ใครเส้นสายใหญ่ ได้รับ “การันตี” เอาไว้แล้วว่าจะได้ “ลี้ภัย” ก็โชคดีไป ส่วนคนเล็กคนน้อยที่ติดร่างแหไปกับเขาด้วย ก็ก้มหน้ารับกรรมไปตามทำเนียม หรือบางคนต่อให้เส้นใหญ่ แต่หนีทัน ก็ต้องไปลุ้นตัวโก่งว่าจะติดคุกหัวโตเสียอนาคตไปเลยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ส่วนที่ยังดันทุรังม็อบต่อก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน อย่างนั้นใช่หรือไม่ ต้องจับตามองกันต่อไป!?