“ประยุทธ์” ประชุมบอร์ดดีอี ไฟเขียวพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐ รองรับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตั้งเป้าดึงหน่วยงานรัฐเข้าใช้งาน 200 แห่ง ใน 18 เดือน แนะภาครัฐพัฒนาแพลตฟอร์ม ให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการในราคาถูก
วานนี้ (18 พ.ย.) เวลา 13.30 น. ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 3/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมประชุม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินการด้านดิจิทัลของประเทศ มุ่งให้ประเทศไทยมีองค์ความรู้ที่สามารถพัฒนาต่อยอดจากดิจิทัลได้ตลอดเวลา เพื่อให้แข่งขันได้ในเวทีนานาชาติ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่โครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน (Digital Community Center Project) ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านสังคมและจริยธรรมของเทคโนโลยีสารสนเทศ ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ในการประชุม World Summit on the Information Society Forum หรือ WSIS Forum 2021 จึงต้องเร่งพัฒนาให้ไทยเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลว่า เป็นประเด็นสำคัญทั้งในและนอกประเทศ จึงขอให้ติดตามประเมินแนวทางของไทยอย่างต่อเนื่อง ว่าสอดคล้องกับแนวทางของต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดข้อจำกัดของการทำธุรกิจระหว่างประเทศ และให้เป็นไปอย่างรัดกุม วันนี้แพลตฟอร์มดิจิทัลกำลังครองโลก เป็นรูปแบบธุรกิจที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เสมือนตัวกลางระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตในภาคส่วนต่าง ๆ จึงอยากให้ภาครัฐพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการกับประชาชนเข้าถึงการใช้บริการในราคาถูก เชื่อมโยงภาครัฐด้วยกันได้ ทั้ง สุขภาพ โควิด ท่องเที่ยว โดยจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน ภายใต้โครงการ แผนงานต่าง ๆ ต้องมีความชัดเจนทั้งแผนปฏิบัติการและแผนการใช้งบประมาณด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการประชุมวันนี้ว่ามีประโยชน์ ขอให้ทุกคนช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ เพื่อคนไทยทุกคน วันนี้ ต่างประเทศชื่นชมไทย บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ ทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ที่ลงทุนอยู่ในประเทศไทย และที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับดิจิทัล อำนวยความสะดวก ปลดล็อกกฎหมายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ผลักดันและร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศไปในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ มติที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบ (ร่าง) นโยบายการพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Government Platform for PDPA Compliance : GPPC) เพื่อเป็นกรอบทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาแพลตฟอร์มฯ ช่วยสนับสนุนการดำเนินการด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลฯ เพื่อให้บริการหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ลดภาระด้านงบประมาณในภาพรวมของภาครัฐ รวมทั้ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลฯ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) โดยกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (1 ปี 6 เดือน) ดำเนินการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางฯ และส่งเสริมให้มีการใช้งานแพลตฟอร์มกลางฯ ไปยังหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 200 หน่วยงาน อบรมบุคลากร 2,000 คน และระยะที่ 2 ดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานแพลตฟอร์มฯ ในภาคเอกชน และทำการติดตามประเมินผลการใช้งานแพลตฟอร์ม
ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการจัดทำ “บัญชีบริการดิจิทัล” เพื่อขึ้นทะเบียนบริการด้านดิจิทัลของ Digital Startup และผู้ประกอบการดิจิทัล (Digital Provider) ที่มีมาตรฐาน พร้อมผลักดันบัญชีบริการดิจิทัลเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ดำเนินการขับเคลื่อนบัญชีบริการดิจิทัล ในภาคเอกชนและภาคประชาชน โดยผลักดันผ่านกลไกนโยบายภาครัฐ เช่น นโยบายภาษี เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผู้ประกอบการดิจิทัลไทยในวงกว้าง