“หมอเณร” กลัวเงียบ หลังนายกฯ-รมว. สธ. เพิกเฉย หอบหลักฐานยาสมุนไพรสร้างไฟธาตุรักษาโควิด หาย ส่งศาลฯอีกรอบ อัด สธ.อุทธรณ์ จ่อทำภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยสูญหาย
วันนี้ (15 พ.ย.) นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือ หมอเณร ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนไทย และเจ้าของสวนสมุนไพรไทย เข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลปกครองสูงสุด กรณียื่นฟ้อง กระทรวงสาธารณสุข กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ฐานละเลยต่อหน้าที่ ไม่ออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย และรับรองสูตรตำรับยาสมุนไพรให้แก่นายชัยรัตน์ และศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 63 ให้กรมแพทย์แผนไทยพิจารณาคำขอจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของนายชัยรัตน์ และแจ้งผลการพิจารณาให้นายชัยรัตน์ทราบ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่กรมแพทย์แผนไทยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า นำหลักฐานที่ยื่นต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ศบค.และ รมว.สธ.เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 มายื่นต่อศาลปกครองสูงสุด เพราะนายกรัฐมนตรี และ รมว.สธ. เพิกเฉย ทั้งที่หลักฐานดังกล่าวเป็นสิ่งที่แสดงว่ายาสมุนไพรสร้างไฟธาตุที่ตนได้ค้นพบสามารถป้องกันและรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เบาหวาน โรคหัวใจให้หายได้ เพราะยาดังกล่าวไปสร้างภูมิคุ้มกันตัวจริงซึ่งเป็นภูมิธรรมชาติให้กับร่างกาย สามารถสู้กับเชื้อไวรัสโควิด และทำให้หายขาดได้ ไม่เหมือนกับยาฆ่าเชื้อที่ทายแล้วหายจากอาการแล้วเมื่อกลับมาเสียชีวิตหรือเป็นโรคอื่นๆ ได้
“ยาปัจจุบันเป็นยาที่สร้างภูมิเทียม ซึ่งทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสตาร์ทไม่ครบทุกจุด เหมือนภูมิธรรมชาติ ทำให้มีโอกาสที่เชื้อจะลงปอดหรือติดใหม่ได้ซึ่งยาสมุนไพรสร้างไฟธาตุดีกว่าวัคซีนเราเห็นว่ามันมีประโยชน์ต่อคนและประเทศชาติ เป็นของดีที่ควรอยู่คู่กับประเทศไทย ที่ไปยื่นเรื่องกับรัฐบาลไม่ได้หวังจะเอาเรื่องกับนายกฯ และ รมว สธ.แต่หวังให้ท่านดูแลส่งเสริมของดีภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยไม่ให้ล่มสลาย แต่ท่านก็นิ่งเฉย ไม่ทำอะไร จึงเกรงว่าเรื่องต่างๆจะตกไป ทำให้ต้องเอามายื่นต่อศาลฯเพิ่มเติม”
นายชัยรัตน์ กล่าวอีกว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์โควิดจะบรรเทาลง แต่เชื่อว่า การระบาดจะกลับมาอีก เพราะในหลายประเทศแม้ประชาชนมีการฉีดวัคซีนแล้วก็กลับมาติดเชื้อจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อมียาดี รัฐบาลก็ไม่ควรละเลยแต่จะให้ไปฟ้องร้องนายกรัฐมนตรี หรือ รมว.สาธารณสุข ก็คงไม่ทำ คงจะพยายามผลักดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เห็นถึงความสำคัญของสมุนไพรไทย
“เรื่องนี้อาจเป็นประเด็นให้ฝ่ายค้านหยิบไปอภิปรายนายกฯในสภาฯ เพราะผมส่งให้รัฐบาลแล้วยังเพิกเฉย ไม่ทำอะไร ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ ผมคงไม่หาคุก หาตะราง มาให้ตัวเอง ด้วยการโกหกเรื่องการรักษา เพราะก็รักษาคนมา 30 กว่าปีแล้ว และศาลฯก็พิจารณาแล้วว่าเรื่องของผมเป็นเรื่องจริงจึงให้กรมแพทย์แผนไทยพิจารณารับรองตำรับยา แต่กลับไปอุทธรณ์ต่อก็อยากจะถาม กระทรวงสาธารณสุข ว่า ที่อุทธรณ์ไม่คิดบ้างหรือว่า การรักษาของท่าน 30 ปีที่ผ่านมา ทำคนต้องตัดขาพิกลพิการไปเท่าไหร่ แล้วยาสมุนไพรไม่ต้องตัดขาทำไมไม่สนใจรักษาไว้ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยนี้ไว้ แต่ไปอุทธรณ์เพื่อให้มันตกไป และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองถ้ายังปล่อยอย่างนี้ การแพทย์แผนไทยล่มสลายแน่ ฝากว่าอย่ามองแต่ยาต่างประเทศ อย่าบังคับคนฉีดวัคซีน เขาก็กลัวเสียชีวิต แต่ยาสมุนไพรมันไม่ถึงชีวิตหรอก จึงอยากให้หันมาสนใจส่งเสริมของดีในบ้านเมือง ไม่ใช่ส่งเสริมแต่ยาฝรั่ง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของคดีนี้นั้น ได้มีการตั้งตุลาการเจ้าของสำนวนแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ ตุลาการเจ้าของสำนวนจะทำการแสวงหาข้อเท็จจริง รวมทั้งจัดส่งคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีให้แต่ละฝ่ายได้ยื่นคัดค้านคำชี้แจงหรือแก้คำอุทธรณ์ และเมื่อสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว องค์คณะจะมีการส่งสรุปข้อเท็จจริงให้กับคู่กรณีได้ตรวจก่อนจะเข้าสู่กระบวนการนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกและการอ่านคำพิพากษาต่อไป