xs
xsm
sm
md
lg

“ดร.อานนท์” แขวะสามกีบ ไม่กำจัด “หมอบุญ” อยู่ในรถเบนซ์ VIP “ลุงตู่” ยก 2 เยาวชนสร้างชื่อเวทีโลก เทียบ 3 นิ้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ คนในรถเบนซ์ VIP ที่แท้ “หมอบุญ” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ถามกันลั่นโซเชีบล คนในรถเบนซ์ VIP เป็นใคร ที่แท้ “หมอบุญ” เจ้าตัวยอมรับแต่โดยดี “ดร.อานนท์” ชี้ “ศักดินา” แขวะ “สามนิ้ว” ไม่กำจัด? “ลุงตู่” ได้ที ยก “2 เยาวชนไทย” สร้างชื่อเวทีโลก อยากเห็นเด็กใช้เสรีภาพตาม กม.

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 พ.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “หมอบุญ” ยอมรับอยู่ในรถเบนซ์ VIP จริง! เผยความจริงอีกด้าน ขณะ ดร.อานนท์ ถามสามนิ้วทำไมเงียบ?

โดยระบุว่า จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการเผยภาพจากกล้องหน้ารถของผู้หญิงรายหนึ่ง ที่กำลังขับมาตามถนนอยู่ดีๆ แต่พบว่า มีรถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจนำขบวน พยายามเปิดทางให้รถเบนซ์ VIP ซึ่งรถคันดังกล่าวขวางอยู่ในเลนของเธอ และพยายามแทรกไปท่ามกลางจราจรที่ติดขัด

ซึ่งเจ้าของคลิปก็ได้ขับไปจ่อ พร้อมกับบีบแตร จนรถเบนซ์วีไอพีต้องหลบขอเข้าเลนของตนเอง อย่างไรก็ตาม พบว่า หลังจากรถวีไอพีคันนั้น ยังมีอีกหลายคันลักไก่ขับตามมาด้านหลัง ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายและการจราจรติดขัดยิ่งขึ้น ต่อมาก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก โดยมีการกล่าวถึงรถคันดังกล่าว ว่า เป็นญาติของหมอชื่อดังคนหนึ่ง

ภาพ เหตุการณ์ ดรามา วีไอพีในรถเบนซ์ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ระบุว่า รถ vip ของ นพ.บุญ วนาสิน (หมอบุญ) จากกรณีคลิปที่มีรถตำรวจนำรถ vip ที่ปรากฏตามสื่อออนไลน์นั้น เกิดเหตุ (3 พ.ย. 64) เวลาประมาณ 08.00 น.

1. บริเวณจุดเกิดเหตุ ถนนกำแพงเพชร 7 ใกล้วัดอุทัยธาราม ถนน 2 ช่องทางสวนกัน (ช่วงไวรัสโควิดระบาด เส้นทางจราจรนี้จะเปิดให้รถวิ่งไปทางเดียวกัน 2 ช่องทาง)

2. โดยรถที่ถ่ายคลิปมาจากถนนเพชรอุทัย เลี้ยวซ้ายมาทางถนนกำแพงเพชร 7
3. รถ vip ของ นพ.บุญ วนาสิน (หมอบุญ) โดยมีรถจักรยานยนต์ตำรวจนำมา 2 คัน โดยคันแรกเป็นของ สน.มักกะสัน คันที่สองคือ พ.ต.ต.สังเวียน คำรังษี สว.จร.สน.ทองหล่อ ซึ่งขับขี่มาทางถนนกำแพงเพชร 7 มุ่งหน้าเพื่อเลี้ยวขวาเข้าวัดอุทัยธาราม ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร

โดยหมอบุญจะใช้ทางผ่านของวัดดังกล่าว เดินทางไปยัง อสมท เป็นเส้นทางประจำทุกวัน โดยขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่การจราจรหนาแน่น ทาง สว.จร.ฯ เห็นว่า ใกล้ถึงจุดหมาย (วัดอุทัยธาราม) จึงได้นำรถหมอบุญขับสวนช่องทางมา และได้พบกับรถของคู่กรณีและได้เกิดคลิปตามที่ปรากฏ..!!

ต่อมาทางด้าน ผกก.สน.มักกะสัน ได้ให้สัมภาษณ์กับทางรายการเอาให้ชัด ช่อง one31 ชี้แจงปมดรามาที่เกิดขึ้น ว่า ถนนเส้นดังกล่าว อยู่ถนนกำแพงเพชร ย่านเพชรบุรี ปกติจะมีการกำหนดเป็น “oneway” ในช่วงเช้า ประมาณ 06.30-09.00 น. ณ เวลาที่เกิดเหตุเป็นการเดินรถแบบ “oneway” แต่ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบเกษียณอายุราชการ จึงเป็นตำรวจนายใหม่ ด้วยความมือใหม่จึงไปกั้นรถไม่ทัน ซึ่งรถคันเผชิญเหตุขับเข้ามาพอดี

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น นายตำรวจที่ขี่นำคันแรก เป็นตำรวจของ สน.มักกะสัน จริง แต่คันที่ 2 นั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นตำรวจ สน. ใด ในส่วนของรถหรู ยืนยันว่า ไม่ใช่วีไอพี แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องกราบขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ ก่อนยืนยันปิดท้าย ณ ช่วงเวลานั้นเป็นการเดินรถแบบวันเวย์

ในขณะที่ นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว ว่า

หมอบุญ ยอมรับกับ Top News ว่า นั่งอยู่ในรถ VIP คันนั้นจริง กำลังจะไปทำงาน ใช้เส้นทางนี้ประจำ

ไปทำงานอะไรน๊อ งานราชการบ้านเมือง งานธุรกิจเอกชน?

นอกจากนี้ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ระบุว่า อ้าว โฉมหน้าศักดินาไทย ทำไมสามกีบไม่กำจัดเล่า

จากนั้น หมอบุญ ก็ได้ยอมรับว่า เป็นผู้ที่อยู่ในรถเบนซ์คันดังกล่าวจริง ซึ่งใช้เส้นทางนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ตรงจุดนั้นเป็นถนนวันเวย์ เปิดให้วิ่งรถทางเดียว โดยกำหนดเป็นช่วงเวลา คาดว่า ทางเจ้าของคลิปคงไม่ได้ดูป้ายจราจร แล้วขับสวนเลนเข้ามา ทำให้การจราจรติดขัด ส่วนรถตำรวจ 2 คัน ที่ขับอำนวยความสะดวก ไม่ใช่รถนำขบวนของผม แต่เจ้าหน้าที่คงเห็นว่าการจราจรติดขัด มีการขับสวนเลนเข้ามา จึงช่วยอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น

ย้อนไปก่อนหน้านี้ หมอบุญ เคยเป็นที่พูดถึงกรณีการจัดหาวัคซีน mRNA เพื่อนำเข้ามาฉีดในประเทศไทย ได้มีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปแสดงความจำนงในการฉีดวัคซีนกับทางโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. ขณะนี้มีประชาชนทั่วไปแสดงความจำนงที่จะฉีดวัคซีนกับทางเครือโรงพยาบาลธนบุรีจำนวนมาก

ภาพ “ลุงตู่” ได้ที ยก “2 เยาวชนไทย” เทียบสามกีบ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น 2 เยาวชนไทยกระหึ่มเวทีโลก! ลุงตู่ ชื่นชมอยากเห็นเด็กใช้เสรีภาพตาม กม.! เทียบสามนิ้ว ต่างกันลิบ!

เนื้อหาระบุว่า จากกรณีวันนี้ (4 พ.ย. 64) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นำ น้องเกรซ น.ส.พัทธ์ธีญา ยงค์สงวนชัย และ น้องเอม น.ส.อมินตา เพิ่มพูนวิวัฒน์ เข้าพบ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมกิจกรรม Youth4Climate : Driving Ambition ในฐานะตัวแทนเยาวชนไทย ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ปกป้องโลกของเราจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยนายกฯ กล่าวแสดงความยินดีกับ 2 เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนเยาวชนเพื่อร่วมเป็นคณะทำงานกับผู้นำเยาวชนด้านสภาพอากาศ จากนั้น น้องเอม และ น้องเกรซ กล่าวถึงการนำเสนอแนวคิดในการประชุม Youth4Climate : Driving Ambition ว่า

การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อาทิ ภาวะโลกร้อน ปัญหาก๊าซเรือนกระจก ไม่ได้มีการหารือเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นด้านมิติสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเร่งแก้ไขปัญหาด้านการศึกษา สิทธิมนุษยชน และความเหลื่อมล้ำ อีกด้วย โดยจะได้ทำงานขับเคลื่อนสร้างการรับรู้แก่คนรุ่นใหม่ในวัยเดียวกัน หรือวัยเด็ก ด้วยการทำงานจิตอาสาพี่สอนน้อง ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจ ความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้แก่เด็กๆ ในมุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้านสภาพอากาศอย่างยั่งยืนด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนงานและคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องปฏิบัติให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือน 0.7% จากประเทศทั้งหมดในโลก

เนื่องจากภาคการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การจราจร และการใช้สารเคมี ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาตามงบประมาณที่ได้มีการจัดสรรเอาไว้ ที่สำคัญคือ ภาคการเกษตรที่จะต้องดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อลดการเผาเพื่อทำการเกษตร ด้วยการใช้เทคโนโลยีและไฟฟ้าขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมปัญหาด้านอุทกภัย เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงระดับ 71 ของโลก หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

นายกฯ ยังกล่าวชื่นชมเยาวชนทั้ง 2 คน ว่า เป็นที่ภาคภูมิใจของบิดา มารดา เพราะเป็นบุคคลที่มีความรู้ ฉลาด มีความสามารถ และที่สำคัญคือ กล้าแสดงออก จึงอยากเห็นนักเรียนนักศึกษา ทุกคนมีหลักคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ภายใต้กรอบของสิทธิเสรีภาพตามที่ควรจะเป็น ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นอย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทั้งนี้ เชื่อว่า การคิดการทำอะไร ที่เป็นสิ่งดีๆ ย่อมเกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน

เยาวชนทั้ง 2 คน ถือว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ร่วมงานกับนายกฯ และรัฐบาลซึ่งเป็นคนรุ่นเก่า ปฏิบัติเพื่อโลกของเรา อย่างที่ได้กล่าวในการประชุม COP26 ว่า เราทุกคนมีโลกเพียงใบเดียว ไม่มีโลกใบใหม่ ดังนั้น จะต้องช่วยกันรักษา โดยเยาวชนถือว่าเป็นตัวแทนในฐานะกระบอกเสียงที่สำคัญเพื่อสร้างการรับรู้

ภาพ “2 เยาวชนไทย” กระทบไหล่ “ลุงตู่” ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ในขณะที่ กลุ่มแนวร่วมสามนิ้ว ที่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันฯมาโดยตลอด จนทำให้แกนนำหลายคนถูกดำเนินคดี อย่างเช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 63 ที่ถูก
ดำเนินคดีในมาตรา 112 ถึง 21 คดี

และล่าสุด (4 พ.ย. 64) ก็มีการนัดฟังคำไต่สวนเพิกถอนประกันตัว 4 แกนนำราษฎร คดีการชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อปี 63 ประกอบด้วย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ นายอานนท์ นำภา ซึ่ง นายภาณุพงศ์ และ นายอานนท์ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอยู่แล้วด้วย

แน่นอน, สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ภาพสะท้อนของความขัดแย้งในสังคมไทย อันเนื่องมาจากการเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ และยกเลิก ม.112 ที่ขยายผล จนกลายเป็นเรื่องของ การเลือกข้าง มากกว่า การแยกแยะผิดถูก ด้วยความจริง และเหตุผล

กรณี “ลุงตู่” อาจไม่มีอะไรมากไปกว่า ต้องการจะสื่อสารไปถึงเยาวชนที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ และยกเลิก ม.112 ตามสิทธิเสรีภาพ ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกกลายเป็นการใช้เสรีภาพจนเกินขอบเขต และทำผิดกฎหมาย จึงมีการยกเอา 2 เยาวชนที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนไทยในเวทีโลกดังกล่าว มาเป็นการเตือนสติ

ส่วนประเด็นของ “หมอบุญ” ชัดเจนที่สุด ก็อย่างที่ ดร.อานนท์ แสดงความเห็นว่า ถ้าเรียกร้องความเท่าเทียม ต่อต้าน และโจมตีศักดินา ทำไมเมื่อเกิดพฤติกรรมเสมือนศักดินาขึ้นกับฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุน จึงไม่ทำอะไร ไม่ต้องการกำจัดขับไล่ เหมือนกับคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม

ด้วยเหตุนี้ ทำให้การต่อสู้เรียกร้องของขบวนการ “สามนิ้ว” เอง ก็ถูกตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้ว เข้าใจการต่อสู้เรียกร้องทางการเมือง โดยเฉพาะเพื่อ “ประชาธิปไตย” ดีแค่ไหน หรือ เพียงแค่ถูกเชิดขึ้นมา โดยคนที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น

ที่สำคัญ นับวันยิ่งทำให้เห็นว่า พวกเขาถูกหลอกมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง มากกว่าที่จะเกิดจากอุดมการณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น