ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จากคริสตัลคลับขยับกลับมาประจำการที่เดิม "ราชบุตรเขยทองหล่อ" เอาอีกแล้วเตะถ่วงหมายจับ"คุณหญิงกอแก้ว"
คดีอื้อฉาวคนดัง “คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา” ภรรยา “พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และพวก ปลอมลายเซ็นต์ "เกษม ณรงค์เดช" นักธุรกิจระดับตำนาน เพื่อหวังฮุบผลประโยชน์ในหุ้นวินเอนเนอร์ยี่ บริษัทพลังงานชื่อดังในอดีตมูลค่านับหมื่นล้าน ซึ่งอัยการสูงสุดเห็นชอบมีคำสั่งฟ้องตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ทำไมเวลาเดินมาถึงวันนี้มากว่า 4 เดือนแล้วจึงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
สังคมเลยสงสัยกันว่า เป็นเพราะอะไร? ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมสะดุดหยุดอยู่กับที่ หรือ จะเป็นอย่างที่ร่ำลือกันเอาไว้ว่า ให้จับตาจะซ้ำรอย "คดีบอส อยู่วิทยา" ที่คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ดิ้นสุดฤทธิ์ สมคบคิดกับ "นักการเมืองใหญ่" วิ่งเต้นช่วยเหลือกัน
งานนี้ สืบไปสืบมาก็ไปพบว่า อันที่จริง อัยการโดยสำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เคลื่อนไหวตลอด โดยได้แทงหนังสือล่าสุด ลงวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ถึง "ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ" เรื่อง "ขอให้ออกหมายจับผู้ต้องหา" ซึ่งก็คือ คุณหญิงกอแก้ว และพวกอีก 2 คน
ฟังว่านี่ไม่ใข่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ อัยการมีหนังสือมาถึง สน.ทองหล่อ ไม่ต่ำกว่าสองครั้งเพื่อให้ ผกก.สน.ทองหล่อ เจ้าของคดี มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน นำตัวส่งตัว “คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา” และ พวก ให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นฟ้องในวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามคำสั่งฟ้องของอัยการสูงสุด โดยกำชับว่า หากไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาได้ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหา และส่งหมายจับพร้อมตำหนิรูปพรรณผู้ต้องหาและพวกไปยังพนักงานอัยการ แต่เมื่อถึงกำหนดนัด “ผู้กำกับสน.ทองหล่อ” กลับมีหนังสือแจ้งเหตุขัดข้องไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาเพื่อยื่นฟ้องได้
หนังสือของอัยการได้ย้ำว่า คดีนี้นับแต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องผ่านมา 4เดือนแล้วนั้น แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องอ้างเหตุขัดข้องมาตลอด
อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหา “คุณหญิงกอแก้วและพวก” มีเหตุอันเชื่อได้ว่า มีเจตนาประวิงคดีให้ล่าช้าและจงใจไม่มาพบพนักงานอัยการ ดังนั้นกรณีจึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องให้เลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหา และ ขอให้ผู้กำกับสน.ทองหล่อ กำชับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสาม แล้วส่งตำหนิรูปพรรณพร้อมด้วยหมายจับไปยังพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1 เพื่อดำเนินการแจ้งผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาคุณหญิงกอแก้วและพวกมาฟ้อง ภายในเร็ววันนี้ต่อไป
ว่าไปแล้ว วงการตำรวจรู้กันดีว่าเมื่ออัยการแทงหนังสือมาแบบนี้ หน้าที่ของผู้กำกับเซ็นแกร็กเดียวให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหา หรือ ขอให้ศาลออกหมายจัย ลำบากแค่ยกมือเท่านั้น
ทีนี้ต้องถามกันละว่า แล้วผู้กำกับทองหล่อ คนนี้มีดียังไง ถึงไม่หือไม่อือ กับคำขอของอัยการ!
บอกได้ตรงนี้เพียงว่า “ผู้กำกับทองหล่อ” เขาคนนี้โปรไฟล์ไม่ธรรมดา มีฉายาในวงการสีกากี " ราชบุตรเขย" เพราะเกี่ยวดองเป็นเขยขวัญของ "ผู้ยิ่งใหญ่" มากบารมี
ฝีมือก็ส่วนหนึ่ง แต่ความเป็นลูกเขยของผู้ยิ่งใหญ่ จึงเพียบพร้อมไปด้วยแบ็กอัพ คอนเนกชั่น ตำรวจน้อยใหญ่ให้ความเกรงอกเกรงใจ
ว่ากันว่า เขาเส้นทางในราชการ กระโจนโลดโผนพอตัว บุญมาวาสนาส่งให้เป็นผู้กำกับโรงพักเกรดเอ อย่างบางรัก และ เอบวกทำเลทองขุมทรัพย์อย่างทองหล่อ ชนิดที่ เพื่อนๆ ตำรวจพากันอิจฉาตาร้อน เพราะน้อยคนนักที่จะทำได้
ทว่า อยู่ตรงไหนก็มีเรื่องอื้อฉาว ตำแหน่งสมัยที่อยูบางรัก เคยถูกฝ่ายค้านพาดพิงอภิปรายในสภา เรื่องบ่อนการพนันในท้องที่บางรัก แต่ด้วยบารมีที่มี "แบ็กอัพ" ระดับบิ๊กเบิ้ม ไม่สะดุ้งสะเทือน กลับยังได้ย้ายไปนั่งเก้าอี้ใหญ่กินตำแหน่งผู้กำกับฯทองหล่อ อีกต่างหาก
ที่ทองหล่อ ข่วงเดือนเมษาฯ “ราชบุตรเขยทองหล่อ” ก็โด่งดังสุดๆ เพราะถูกสั่งย้ายจากกรณีฉาว ปล่อยปละละเลยควบคุม สถานบันเทิงชื่อดัง ทำให้เกิดโควิดระบาด "คลัสเตอร์คริสตัลคลับ" นั่นไง
คริสตัลคลับ เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ตอนนั้น มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ตั้งแต่ชนชั้นนำ รัฐมนตรี ดารา นักร้อง ผู้ให้บริการ ลามถึงประชาชนทั่วไป เฉพาะกรุงเทพฯ พบติดเชื้อโควิดรวม 659 ราย ตำรวจ สน.ทองหล่อ ติดเชื้อหลายสิบนาย ต้องกักตัวตำรวจในนครบาลกว่า 500 นาย
งานนั้นถูกสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ศปก.บก.น.5) พร้อมกับถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้วย
ตอนนั้นใครๆ ก็ว่ากันว่า “ราชบุตรเขย” คงจะหมดอนาคต แต่เรียกว่า เข้ากรุไปพักใหญ่จนเรื่องเงีบบจึงวนกลับมารับตำแหน่ง “ผู้กำกับทองหล่อ” มาถึงบัดนี้ แบบชิลชิล
ต้องบอกว่า ด้วยโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดา คอนเนกชั่น-แบ็กอัพปึ๊ก ขนาดนี้ ไม่ต้องนำสืบให้ยุ่งยาก เพราะอะไร ผู้กำกับคนดังจึงกล้า " ยึกยัก" เตะถ่วง แจ้งเหตุขัดข้องต่ออัยการกรณีไม่นำส่งตัว “คุณหญิงกอแก้ว” ซึ่งก็ต้องบอกว่า คงไม่ธรรมดาเช่นกัน
หลังจากนี้ต้องดูว่า คดีนี้จะเดินไปอย่างไร เมื่อข้อเท็จจริงอัยการยืนยันยื่นฟ้อง คุณหญิงคนดังกับพวก แต่กลับสะดุดที่อิทธิฤทธิ์ของราชบุตรเขย ตำรวจที่เล่นตุกติก ยึกยัก ไม่ยอมขอศาลออกหมายจับ
งานนี้ ถามราชบุตรเขย จะปฎิเสธความรับผิดชอบยังไง ? เผลอๆ จะพากันเหม็นเน่าไปทั้งปทุมวัน ฉาววงการสีกากีอีกหนหรือไม่ .. โปรดติดตาม.
**“ไพบูลย์โมเดล” เผาบ้านตัวเอง แล้วไปอยู่บ้านใหม่ที่ใหญ่กว่า ทำได้ไม่ขัดรธน.
ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้ขาดกรณี “ไพบูลย์ นิตินะวัน” ยุบพรรคตัวเอง แล้วไปเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ...ทำได้ ได้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
ต้องย้อนเรื่องราวที่มาที่ไปกันก่อนว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 “ไพบูลย์” ตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป เป็นหัวหน้าพรรคเอง มีนโยบายในการหาเสียงว่า...“จะน้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ร้อนให้กับประชาชน คืองานของพรรคประชาชนปฏิรูป” จนถูกพูดถึงในเชิงล้อเลียนว่าเป็นพรรคพระพุทธเจ้า
ผลการเลือกตั้ง พรรคประชาชนปฏิรูปไม่ได้ส.ส.เขตเลยแม้แต่คนเดียว คะแนนของพรรครวมทั่วประเทศได้ 45,420 คะแนน จัดเป็น “พรรคจิ๋ว” อยู่ลำดับที่ 4 จากท้ายตาราง... ซึ่งในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบที่บอกว่าทุกคะแนนมีความหมาย ไม่มีตกน้ำ เกณฑ์คะแนนอยู่ที่ 71,123 คะแนน จึงจะได้เป็นส.ส. แต่เมื่อคำนวณจากส.ส.พึงมีของแต่ละพรรคแล้ว ปรากฏว่าไม่ลงตัว จึงมีบางคนที่คะแนนไม่ถึงตามเกณฑ์แต่ได้เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เรียกกันว่า “ส.ส.ปัดเศษ”
“ไพบูลย์” ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ก็ได้เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อคนเดียวของพรรค...เป็นส.ส.ปัดเศษ
ปัญหาความไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ของส.ส.ปัดเศษนั้น ในช่วง 1 ปีแรก อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะถ้า กกต.จับได้ไล่ทันว่าผู้สมัครคนใด ทุจริตเลือกตั้ง ได้รับ “ใบแดง” คะแนนของพรรคต้นสังกัดก็จะหายไป ต้องคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อกันใหม่... บรรดาส.ส.ปัดเศษ ก็หนาวๆ ร้อนๆ ต้องมาลุ้นว่าจะตกเก้าอี้หรือไม่ ... ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วจากกรณีของ “พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค” หัวหน้าพรรคไทยรักธรรม
“ไพบูลย์” ที่เป็นนักกฎหมายจึงหาช่องทางที่จะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา ว่าแล้วก็เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค ลงมติยุบพรรคประชาชนปฏิรูป แล้วไปแจ้งยุบพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง จากนั้นก็ไปหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน เพื่อรักษาสถานภาพส.ส. และ “บ้านใหม่” ที่ ไพบูลย์เลือกคือ พรรคพลังประชารัฐ
แน่นนอนว่าพรรคพลังประชารัฐก็ยินดีต้อนรับ เพราะช่วงนั้นรัฐบาลลกำลังอยู่ในสภาพ “เสียงปริ่มน้ำ”การได้เพิ่มมาเสียง สองเสียงย่อมมีความหมาย
“ไพบูลย์”จึงพ้นสภาพส.ส.ปัดเศษ ที่ไม่รู้ว่าจะตกเก้าอี้เมื่อไร กลายเป็น “ส.ส.อมตนิรันดร์กาล”ตั้งแต่บัดนั้น
จึงเกิดคำถามอื้ออึงว่า ทำแบบนี้ก็ได้หรือ... ตอนที่สั่งยุบพรรคตัวเอง แล้วหัวหน้าพรรคไม่สิ้นสภาพส.ส.หรือไร ...การเข้าไปเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อของพลังประชารัฐ ทำได้หรือ ในเมื่อมีการคำนวณส.ส.พึงมีของแต่ละพรรคกันแล้ว แล้วไพบูลย์จะ “ไปแทรก” ไปเสียบได้หรือ? จะไม่เกินโควตาส.ส.พึงมีหรือ... ไพบูลย์ ไม่เคยมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรค แล้วอยู่ๆ มาเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคก็ได้หรือ
เรื่องนี้จึงมีส.ส.ฝ่ายค้านเข้าชื่อกันยื่นให้ศาลรัฐธรรมมนูญตีความ ...ซึ่งศาลฯก็มีการตัดสินด้วยเสียงข้างมากออกมาแล้วว่า ...ไพบูลย์ทำได้ ไม่ขัดรธน.
ศาลรธน.ให้เหตุผลว่า จากการตรวจสอบมติการสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมือง ของพรรคประชาชนปฏิรูป พบว่าเป็นไปโดยชอบตามข้อบังคับพรรค และตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง ...ที่มีการอ้างว่า การมีมติให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพนั้น มีวาระซ่อนเร้น ก็ไม่พบว่ามีพยานหลักฐานสนับสนุนตามที่กล่าวอ้าง และเมื่อพรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมือง “ไพบูลย์” ซึ่งเป็น ส.ส. ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ในการที่จะหาพรรคการเมืองอื่นสังกัดภายใน 60 วัน
ส่วนที่อ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐมาก่อน ศาลฯเห็นว่ารธน.มาตรา 90 กำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดทำบัญชีรายชื่อ และการได้มาซึ่งสมาชิกส.ส. โดยมีวัตถุประสงค์ใช้บังคับกับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคนละวัตถุประสงค์กับ มาตรา 91 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ที่จะเกิดขึ้นหลังได้รับการเลือกตั้งแล้ว...
หลังคำวินิจฉัยศาลรธน.ดังกล่าว ก็ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย บางคนเห็นว่าการที่ประชาชนลงคะแนนเลือก พรรคประชาชนปฏิรูป อาจจะชอบนโยบายแนวทางพระพุทธเจ้า แต่พอเลือกไปแล้ว คนกลับไปเข้าพรรคนอมินีทหาร ...หรือมองว่าไพบูลย์ทรยศต่ออุดมการณ์ เผาบ้านเล็กไปอยู่บ้านใหญ่ ห่วงแต่สร้างฐานะตัวเอง จนตอนนี้เป็นถึงรองหัวหน้าพรรค
...จากนี้ พรรคใหญ่สามารถควบรวมพรรคเล็ก โดยใช้มติกรรมการบริหารพรรคเล็ก ส่วนพรรคเล็กจะมาด้วยเสน่หา หรือ อามิสสินจ้างก็แล้วแต่ แต่นี่คือทางออกใหม่ที่สวยงาม ไม่ต้องลงมติไล่ แถมยังไปได้เป็นกลุ่มก้อน เป็นบรรทัดฐานใหม่อีกเรื่อง สำหรับการเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม “ไพบูลย์โมเดล”อาจจะใช้ไม่ได้กับการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่จะมีบัตรเลือกตั้ง 2ใบ ซึ่งจะมีการคำนวณคะแนนเฉลี่ยของส.ส.บัญชีรายชื่อเหมือน รธน.ปี 50 เว้นเสียแต่ว่า การเลือกตั้งยังใช้กติกาเดิมเหมือนครั้งที่ผ่านมา