ฟังไว้! “ไพศาล” ฟาด “อาจม” หลอกเด็กหมิ่นสถาบันถูกคดีอื้อ! สำนึกบาปไหม “ปิยบุตร” ซุก “ตปท.-บริษัทบริวาร” หลบหมด คลิป “เบนจา” ทำข้ออ้าง “สามนิ้ว” ฟังไม่ขึ้น คำสั่งศาลชี้ เหตุไม่ให้ประกัน ทำผิด ม.112 ซ้ำ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 ต.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น อาจมหลอกเด็กหมิ่นสถาบันถูกคดีอื้อ! ปิยบุตร ซุก ตปท.-บริษัทบริวาร แอบหลบ
โดยระบุว่า จากที่ น.ส.เบนจา อะปัญ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถูกออกหมายจับโดยศาลอาญากรุงเทพใต้ข้อหาอาญาตามความผิด มาตรา 112 ก่อนศาลไม่ให้ประกันตัว เพราะมีพฤติการณ์ทำผิดซ้ำเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงและมีอัตราโทษที่สูงนั้น
ต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ทวิตเตอร์ ระบุว่า
“ผ่าน 6 ตุลามาไม่กี่วัน ผู้มีอำนาจก็ซ้ำเดิมทำลายอนาคต เพียงเพราะเธอเรียกร้องถึงสังคมที่ดีกว่า เบนจาเป็นวิศวกรอวกาศ ที่กำลังสร้างชื่อเสียงให้กับไทยในอีกไม่กี่ปี แต่กลับต้องถูกจับเข้าคุก รบ.ต้องหยุดทำลายอนาคตของชาติ ก่อนที่สังคมไทยจะถูกผลักออกไปไกลเกินจุดที่จะเจรจาประนีประนอมกันได้”
ด้าน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงบรรดาอาจารย์ และนักศึกษา ที่เคลื่อนไหวจนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ด้วยว่า
“พวกอาจมที่หลอกให้เด็กจาบจ้วงหมิ่นสถาบัน จนเป็นเหตุให้เด็กถูกดำเนินคดีจำนวนมาก จะสำนึกถึงบาปกรรมที่ทำไว้กับเด็กๆบ้างไหมหนอ!
พ่อแม่ผู้ปกครองต่อไปนี้ต้องระมัดระวังดูแลลูกหลานไว้ให้จงดี ขณะนี้ลูกหลานไปเรียนหนังสือ ก็อาจจะถูกปลูกต้นไม้พิษไว้ในความคิดจิตใจ จนกระทั่งขาดความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ไม่สนใจครอบครัว
อาจารย์ปิยบุตรเอง ก็เหมือนกัน จะต่อว่าใครได้ล่ะครับว่าทำไมไม่ช่วยเด็ก ตัวเองก็หลบฉากไปอยู่ต่างประเทศ พวกอาจม และบริษัทบริวาร เขาก็รู้ดีว่าทำผิดกฎหมาย ก็จะหมดอนาคต จึงแอบหลบกันหมด มันเป็นเช่นนี้แหละโยม”
ก่อนหน้านี้ (27 ก.ย. 64) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กถึงปรากฏการณ์ทะลุแก๊สที่ดินแดงว่า
“ภายหลังแกนนำราษฎรหลายคนถูกรัฐใช้นิติสงครามเข้าปราบปรามอย่างหนัก จนต้องถูกจำคุก โดยไม่มีสัญญาณว่าจะได้รับอิสรภาพชั่วคราวเมื่อไร ดูเหมือนว่า การชุมนุมของกลุ่มราษฎรในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมาสู่ช่วงขาลง แต่ก็เกิดการชุมนุมที่ดินแดงช่วงหัวค่ำเกือบทุกวัน ปะทะกับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ซึ่งไม่มีใครรู้จักว่าพวกเขาเหล่านี้คือใคร ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าข้อเสนอของพวกเขาคืออะไร ซึ่งได้เฝ้าสังเกตการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มนี้อย่างสนใจว่านี่จะกลายเป็นการต่อสู้ในลักษณะใหม่แบบที่ไม่เคยเกิดในไทยมาก่อนหรือไม่
“ยังไม่อาจวิเคราะห์ฟันธงลงได้ทั้งหมด แต่ขอตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ว่า นี่คือ ปรากฏการณ์ในลักษณะผุดขึ้นมาเองปราศจากองค์กรจัดตั้งหรือปลุกระดม เพื่อตอบโต้กับสิ่งที่รัฐกระทำมาตลอดปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มไปสู่การลุกขึ้นสู้แบบปฏิวัติ” ปิยบุตร โพสต์เอาไว้
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น เปิดคลิป “เบนจา” และคำสั่งศาลชี้ชัด พฤติการณ์ทำผิด ม.112 ซ้ำ
เนื้อหาระบุว่า จากที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ยื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 น.ส.เบนจา อะปัญ อายุ 22 ปี แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ผู้ต้องหาคดีความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดอื่นเกี่ยวกับการชุมนุมนั้น
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ผู้ต้องหากับพวกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้จัดกิจกรรมที่มีการปราศรัยหน้าอาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา โจมตีการทำงานของรัฐบาลและดูหมิ่นสถาบันฯ
พนักงานสอบสวน จึงแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และประกาศเกี่ยวกับการห้ามชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ขณะที่ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวน จึงขอฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-19 ตุลาคมนี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบพยานเพิ่มเติมและการตรวจสอบประวัติทะเบียนอาชญากร
อย่างไรก็ตาม ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการประกันตัว ศาลพิจารณาคำร้องและเหตุจำเป็นแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาญาติผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว
โดยศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูงประกอบกับพฤติการณ์ได้ก่อเหตุเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงที่ผู้ต้องหาเคยถูกฟ้องที่ศาลนี้ไว้ ทั้งพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวในชั้นนี้ จึงเห็นควรไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะรับตัว น.ส.เบนจา ผู้ต้องหาไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
กระนั้น เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ก็ถูกกลุ่มคนที่สนับสนุน น.ส.เบนจา ออกมาตอบโต้โจมตี ที่ศาลไม่ให้ประกันตัว ทั้งยังบิดเบือนว่า เป็นการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ดังนั้น ทีมข่าวเดอะทรูธ จึงอยากพาไปให้เห็นถึงข้อเท็จจริงบางส่วนที่เกิดขึ้นจนเกิดเป็นคดีความ
โดยก่อนหน้านี้ นางสาวเบนจา อะปัญ สมาชิกกลุ่มแนวร่วมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และเป็นหนึ่งในแกนนำของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ราษฎร” หรือม็อบ 3 นิ้ว ก่อความวุ่นวายบริเวณหน้าศาลอาญา หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายอานนท์ นําภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์, นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ จัสติน และ นายปริญญา ชีวินกุลปฐม หรือพอร์ท วงไฟเย็น
ต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ สน.พหลโยธิน กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดย นายนพคุณ ทองถิ่น เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ นางสาวเบนจา อะปัญ กรณีการจัดการชุมนุมที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 64 ในความผิดตาม ม.112, พ.ร.บ.ควบคุมโรค พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.เครื่องเสียง โดยยื่นหนังสือพร้อมพยานหลักฐานต่อพนักงานสอบสวน
“ผิดเงื่อนไขในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว(ประกันตัว)หรือไม่ เนื่องจาก น.ส.เบนจา อะปัญ เป็นผู้ต้องหาตามมาตรา 112 ที่ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษและแจ้งความไว้ที่สน.ปทุมวัน ซึ่งทางพ.ต.ท.จริญสิทธิ์ จงอิทธิ รองผู้กำกับสอบสวนสน.ปทุมวันได้แจ้ง4ข้อกล่าวหาต่อน.ส.เบนจา โดย 4 ข้อหา ได้แก่ 1.ข้อหาตาม ป.อาญา ม.112 2. ฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 3. ฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ 4. ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และหลังจาก น.ส.เบนจา มารับทราบข้อกล่าวหาที่สน.ปทุมวันแล้ว ก็ได้รับการปล่อยตัวในชั้นสอบสวน”
ล่าสุด วันนี้ (9 ต.ค. 64) เจ๊จุก คลองสาม ได้โพสต์ข้อความพร้อมคลิปวิดีโอลงในทวิตเตอร์ @jjookklong3 เปิดเผยถึงพฤติการณ์ของ น.ส.เบนจา ที่ทำให้สังคมไทยได้เห็นข้อเท็จจริงของพฤติกรรมที่ไม่สมควรและเหมาะสมอย่างยิ่ง
“คลิปนี้ เป็นอีกวีรกรรมสุดปัง!! ของเบนจา พากันไปชุมนุมกดดันศาลให้ปล่อยเพนกวิน #ม็อบ29เมยา พฤติกรรมสุดกร่าง ด่าศาล ไม่สนใจกฎหมาย แบบนี้เหรอแสดงออกทางความคิด วันนี้ก็น่าสงสารน้องนะ ถึงคิวตัวเองโดนบ้าง กลับไม่มีใครสนใจ โผล่กันไปไม่กี่คน ไหนพวกสามกีบบอกว่าจะไม่ทิ้งกันไง”
แน่นอน, ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่ง ธนาธร เรียกร้องว่า อย่าทำลายอนาคตของชาตินั้น ประเด็นก็อยู่ที่ ใครเป็นคนทำให้เด็กและเยาวชน อนาคตของชาติ หมดอนาคตกันแน่?
เรื่องนี้ที่น่าย้อนให้เห็น ก็คือ กรณี รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Suvinai Pornavalai” เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 64 ระบุว่า
“ช่วงนี้อาจารย์ปิยบุตรหมกมุ่นอยู่กับ “เลนินและการปฏิวัติรัสเซียปี 1917” ถึงขั้นอาการหนักมาก...นี่อาจเป็นเพราะอาจารย์ปิยบุตรอยู่ในสภาพดุจลี้ภัยในต่างประเทศคล้ายกับเลนินผู้นำพรรคบอลเชวิกในช่วงก่อนเกิดการปฏิวัติปี 1917 ลึกๆ ในใจของอาจารย์ปิยบุตร จึงทั้งคาดหวังทั้งภาวนาให้เกิดสถานการณ์ปฏิวัติของประชาชนขึ้นมาจริงๆในประเทศนี้บ้างกระมัง
แต่อนิจจา มันเป็นความย้อนแย้งอย่างที่สุดที่ไม่มี “ความเป็นจริงของการปฏิวัติ (actuality of revolution)” แบบรัสเซีย ดำรงอยู่เลยในสังคมไทยปัจจุบัน และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นด้วยซ้ำในประเทศนี้... ในทัศนะของผม
เพราะอาจารย์ปิยบุตรหมกมุ่นกับการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติรัสเซียอย่างหนัก ดุจคนเสพฝิ่นที่ติดฝิ่นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ดังนั้น อาจารย์ปิยบุตร จึงใช้ “แว่นสีการปฏิวัติ” ในการพยายามมอง “ม็อบทะลุแก๊ซ” ที่ดินแดงให้เป็นการลุกฮือของมวลชนปฏิวัติให้จงได้ ...
เราต้องยอมรับว่า อาจารย์ปิยบุตรแกพยายามมากเหลือเกิน แม้จะฝืนความจริงมากแค่ไหนก็ตาม มาถึงขั้นนี้แล้ว คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฟันธงว่า แท้จริงแล้วอาจารย์ปิยบุตรเป็นแค่ “คนคลั่งการปฏิวัติ” คนหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่มันเป็นเคราะห์กรรมรวมหมู่ของประชาชนคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่ง ที่ดันไปหลงเชื่อคล้อยตามความคิดที่เพ้อเจ้อ เพ้อฝันของอาจารย์ปิยบุตร ถึงขั้นกระโจนเข้ามาร่วมวงกับขบวนการปฏิวัติล้มเจ้าของอาจารย์ปิยบุตรด้วย
ตอนนี้ ผมได้ข้อสรุปที่ตกผลึกแล้วว่า หัวโจกที่แท้จริงของขบวนการปฏิวัติล้มเจ้าในประเทศไทยปัจจุบัน มิใช่ใครอื่นแต่คืออาจารย์ปิยบุตรนี่เอง
โดยที่ ธนาธร เป็นแค่สาวกคนแรกๆ ของอาจารย์ปิยบุตร และเป็น “นายทุนปฏิวัติ” ผู้สนับสนุนหลักทางด้านการเงินให้แก่ขบวนการปฏิวัติล้มเจ้าเท่านั้นเอง...”
อ.สุวินัย วิเคราะห์เอาไว้อย่างตรงประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นมากที่สุด ผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าจริงหรือไม่!?