ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พอเถอะลุง! บริหารงานล้มเหลว ขาดภาวะผู้นำ แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ โพลบอกชัด ค้าน “บิ๊กตู่” ตั้งพรรคเองลงเลือกตั้งสมัยหน้า
การปลด “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แบบสายฟ้าแลบ พร้อมทั้งเกิดกระแสข่าวการตั้งพรรคการเมืองพรรคใหม่ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงเลือกตั้งเองในการเลือกตั้งสมัยหน้า ถูกมองว่า นี่เป็นปรากฏการณ์ กระชับอำนาจของ “น้องเล็ก” แห่ง 3 ป. เพื่อให้ได้นั่งเก้าอี้นายกฯต่อไปอีกอย่างน้อย 1 สมัย เพราะการจะใช้พรรคพลังประชารัฐ เป็นนั่งร้านอีกครั้งเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน คงจะยากเสียแล้ว เมื่อความสัมพันธ์กับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เริ่มปริร้าว นับตั้งแต่การปลด 2 รัฐมนตรีดังกล่าว
แต่สิ่งที่ “ลุงตู่” คิด กับที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คิด จะเหมือนกันหรือไม่ ก็ลองมาดูผลการสำรวจความคิดเห็นของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่สอบถามประชาชนในประเด็น “นายกรัฐมนตรีกระชับอำนาจ” ระหว่างวันที่ 13-16 ก.ย. 64 จากกลุ่มประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,317 หน่วยตัวอย่าง
เอาประเด็นใหญ่ๆ เลย กรณี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะตั้งพรรคการเมืองของตนเอง เพื่อเตรียมการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.24 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารงานล้มเหลว ขาดภาวะผู้นำ ไม่มีศักยภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้ ส่งผลกระทบให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ถึงเวลาที่ท่านควรยุติบทบาททางการเมืองได้แล้ว
ส่วนคนที่ตอบ เห็นด้วยอย่างยิ่ง มีอยู่ร้อยละ 19.97 โดยให้เหตุผลว่า เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความสามารถในการบริหาร และมีความเด็ดขาด กล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดี และคาดว่าสามารถดูแลสมาชิกพรรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ขณะที่ ร้อยละ 10.10 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าประเทศชาติจะสงบสุข ไม่มีความขัดแย้งภายในประเทศชาติ หากจัดตั้งพรรคของตนเอง ท่านจะได้มีอำนาจมาดูแลบริหารงานอย่างที่สามารถเลือกสมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่จะพัฒนาประเทศชาติได้ดียิ่งขึ้น
แต่ร้อยละ 7.82 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะผลงานที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ดีเท่าที่ควร การแก้ไขปัญหาล่าช้า ควรเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารงาน และ ร้อยละ 3.87 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
มาดูอีกประเด็นถ้า “พล.อ.ประยุทธ์” จะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทน “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ล่ะ ประชาชนคนไทยเห็นว่าอย่างไรบ้าง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 56.11 ระบุว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับพรรคพลังประชารัฐเลย รองลงมาร้อยละ 21.56 ระบุว่า ไม่ต้องเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ต้องคุมพรรคได้ ร้อยละ 16.33 ระบุว่า ควรเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแทน พล.อ.ประวิตร และ ร้อยละ 6.00 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อการกระชับอำนาจของนายกฯ ด้วยการ ปลด 2 รัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 23.99 ระบุว่า เป็นการดำเนินการที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งก็สูสีกับจำนวนคนอีกร้อยละ 23.54 ที่ระบุว่า “พี่-น้อง 3 ป.” แค่เล่นเกมการเมือง แต่จะไม่มีการแตกออกจากกัน ขณะที่ ร้อยละ 17.16 ระบุว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม ร้อยละ 16.70 ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐ จะแตกแยกมากขึ้น ร้อยละ 11.92 ระบุว่า นายกฯ จะได้คะแนนนิยมทางการเมืองน้อยลง ร้อยละ 7.67 ระบุว่า นายกฯและรัฐบาลจะมีความมั่นคงน้อยลง เป็นต้น
ดูจากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ครั้งนี้ ซึ่งพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบร้อยละ 60 ไม่เห็นด้วยกับการที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะเล่นการเมืองต่อ หลังจากพ้นเก้าอี้นายกฯ สมัยนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะโดยการตั้งพรรคของตัวเองเพื่อลงเลือกตั้งครั้งหน้า หรือการมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทน “พี่ป้อม” ก็ตาม
นี่จึงเป็นเสียงสะท้อนของคนไทยส่วนใหญ่ที่กำลังจะบอก “บิ๊กตู่” ว่า “พอได้แล้วลุง” นั่นเอง!
**สืบเจอแบบนี้..วิถีรวยของ “โจ้ เฟอร์รารี” ปั้นเอกสารเท็จปั๊มคดีส่งกรมศุลฯประมูล
ความคืบหน้า คดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “โจ้ เฟอร์รารี” อดีตผู้กำกับ สภ.นครสวรรค์ ยังเป็นที่สนใจของสังคม นอกจากคดีอุ้มซ้อมทรมาน “ถุงคลุมหัว” จนผู้ต้องหาเสียชีวิตจากคลิปที่เผยแพร่ออกมา จนกลายเป็นความอัปยศอดสูของวงการสีกากีแล้ว
ว่าด้วยเส้นทางการเงินและที่ไปที่มาทรัพย์สินต่างๆ อันเป็นที่มาความร่ำรวยของ “ตำรวจไฮโซ” รายนี้ก็เป็นที่สนใจไม่แพ้กัน
ว่ากันว่า เส้นทางการเงิน หรือหนทางรวย ของ “โจ้ เฟอร์รารี” นั้น มีจุดเริ่มมาจาก เรื่องการ “ปั้นคดีรถหรู” ที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ มองเห็นโอกาสตอนที่ปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ เขาลงทุนซื้อรถจากมาเลเซียที่มีราคาถูกกว่าฝั่งไทยแล้วลักลอบนำเข้ามา จากนั้นก็ทำทีจับรถที่ตัวเองนำมาก่อนส่งต่อกรมศุลกากร นำไปประมูลขายทอดตลาดเพื่อรับเงินรางวัลนำจับและค่าสายข่าวทำกำไร ซึ่งปรากฏตามข้อมูลของกรมศุลกากรก่อนหน้านี้ ว่า ในระยะเวลา 6 ปี รถที่ขายทอดตลาดที่มีผู้กำกับโจ้ เป็นเจ้าของสำนวนคดี มีมากถึง 368 คัน ประมูลไป 365 คัน คิดเป็นเงินกว่า 1,000 ล้าน โดยที่แบ่งรางวัลและค่าสายข่าว รวมกันกว่า 45% ให้ผู้กำกับโจ้ และเครือข่ายไปแล้วราวๆ 450 ล้าน
งานนี้ ตำรวจทำงานยากพอสมควร เพราะต้องรื้อข้อมูลทั้งหมดใหม่ตั้งแต่ต้น เพื่อดูว่านำเข้ารถเหล่านี้มาได้อย่างไร มีใครเกี่ยวข้องกับขบวนดังกล่าวบ้าง
ฟังว่า ล่าสุด มีรายงานว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ที่มี “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน มอบหมายให้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. เป็นผู้รับผิดชอบขยายผลเรื่องเส้นทางการเงิน และที่มาที่ไปของทรัพย์สิน และรถหรูของ “โจ้ เฟอร์รารี” นั้น พล.ต.อ.สุชาติ ได้รับข้อมูลจากการตรวจสอบพบ ที่ อดีต ผกก.โจ้ เป็นเจ้าของสำนวนคดีนำจับรถหรูและรถทั่วไป ได้จับกุมและยึดรถจำนวน มากถึง 410 คัน ส่งประมูลที่กรมศุลกากร และยังคงเหลืออีก 5 คัน ที่ยังไม่ได้ถูกประมูลไป
ที่น่าสนใจ พบว่า มีข้อพิรุธของชุดจับกุม อดีต ผกก.โจ้ ได้ทำ “เอกสารอันเป็นเท็จ” หลายกรรมหลายวาระ ซึ่งคณะทำงานอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรียกว่า ยิ่งสาวยิ่งเจอ วิถีรวยแบบโจ้ ที่ไม่ธรรมดา