1."บิ๊กตู่" ยันสัมพันธ์ "บิ๊กป้อม" มองหน้าก็รู้ใจ ไม่มีวันไม่เข้าใจกัน ด้าน "ธรรมนัส" ไม่ทิ้ง พปชร. ขอเป็นบ้านหลังสุดท้าย!
สถานการณ์การเมืองหลังเกิดปัญหาเคลียร์กันไม่จบ ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเสียงไว้วางใจรองบ๊วยและได้รับเสียงไม่ไว้วางใจมากสุดหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ส่งผล พล.อ.ประยุทธ์ มีการปลดฟ้าผ่า ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้วยการทูลเกล้าฯ ให้ทั้งสองพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ โดยได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทั้งสองพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส เปิดแถลงส่งสัญญาณหมดใจ และจะกลับไปเริ่มต้นที่ จ.พะเยา อาจจะไปอยู่บ้านหลังใหม่ ท่ามกลางการจับตาว่า ร.อ.ธรรมนัส จะลาออกจากเลขาธิการพรรค พปชร.ด้วยหรือไม่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค พปชร.จะยังรักกันเหมือนเดิมหรือไม่ หลัง พล.อ.ประวิตร ช่วยเคลียร์ใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส ไม่สำเร็จ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตามปกติ และได้มีการยกมือไหว้ พร้อมกล่าว “สวัสดีพี่ป้อม” และพูดคุยกัน โดยมีการหัวเราะเป็นระยะๆ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีการกอด และประคอง พล.อ.ประวิตร เพื่อส่งขึ้นรถยนต์อีกด้วย
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ต้องการรู้ว่า เคลียร์ใจกับ พล.อ.ประวิตรหรือยัง โดยยืนยันว่า “ผมไม่จำเป็นต้องเคลียร์ เห็นหน้าก็รู้ใจ ต่างคนต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นในการทำงาน การดำเนินการอะไรก็ตาม ขอให้เป็นไปตามกติกา ตามระบอบประชาธิปไตย อันไหนที่เป็นอำนาจของนายกฯ ที่ผมสามารถทำได้ ก็ทำของผม ไม่มีวันที่จะไม่เข้าใจกัน ยืนยันอีกครั้งนะครับ”
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังร่วมประชุมคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร โดยยืนยันว่า ทั้งสองไม่ได้มีท่าทีขัดแย้งหรืองอนกันอย่างที่เป็นข่าว ยังคงมีการกระเซ้าเย้าแหย่กัน โดยนายกฯ ยังบอกด้วยว่า “ใครว่าเราทะเลาะกัน ไม่มี พวกผมไม่มีทางทะเลาะกัน ผมมีวันนี้ได้เพราะพี่ป้อม มองหน้ากันก็เข้าใจกันแล้ว” ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ยังบอกด้วยว่า “นั่นสิ ทำไมคนเอาไปลงว่า ผมทะเลาะกับนายกฯ”
2 วันต่อมา 15 ก.ย. พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานประชุม ส.ส.พรรค พปชร. โดย พล.อ.ประวิตร เดินทางมาประชุมพร้อมกับ ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล รวมทั้ง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ พล.อ.ประวิตร เพิ่งแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค หลังประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคและตำแหน่งต่างๆ ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส ตอบผู้สื่อข่าวที่ถามว่า สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ โดยบอกว่า “สบายใจตั้งนานแล้ว”
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุม ส.ส.พรรค พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวถึง ร.อ.ธรรมนัส ที่นั่งอยู่ด้านข้างให้ ส.ส.ฟังว่า เป็นคนที่เสียสละมาตลอด ควรจะอยู่ด้วยกันต่อ พร้อมกับหันไปถาม ร.อ.ธรรมนัสว่า จะอยู่ต่อ หรือจะเอาอย่างไร ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวยืนยันในที่ประชุมว่า “ตอนแรกผมจะไม่อยู่ ใจอยากกลับไปอยู่ที่บ้าน ทำธุรกิจ เป็นราษฎรธรรมดา มากกว่าทำการเมือง ซึ่งท่านประวิตรขอให้อยู่ช่วยกันทำงาน ถ้านายรัก อนุญาตให้ทำงานต่อ ก็จะไม่ออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ถ้าท่านประวิตรอยู่ ผมก็ยินดีที่จะอยู่ต่อ ผมเกิดจากพรรคนี้ ก็พร้อมจะอยู่ตรงนี้ ถ้าจะจบชีวิตการเมือง ก็ขอให้จบที่พรรค พปชร.ยึดที่นี่เป็นที่พึ่งพิง ขอให้พลังประชารัฐเป็นบ้านสุดท้ายของผม”
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำกับ ส.ส.ให้สลายก๊กและมุ้งต่างๆ ในพรรค โดยกล่าวว่า “ขอให้ช่วยกันทำให้พรรคมั่นคง ขอให้รักกัน สามัคคีกัน ช่วยกัน อย่ามีกลุ่ม มีก๊วน ต่อไปจะมีแต่กลุ่มหัวหน้าพรรค แล้วห้ามไปตั้งก๊วน ตั้งมุ้ง ส่วนมุ้งต่างๆ ที่เคยดูแล ส.ส.กันอยู่ ขอให้หยุด ต่อไปถ้าจะดูแล มาเอาที่ผม ผมรับผิดชอบคนเดียวเอง”
2."ธนาธร" จัดตั้ง "มูลนิธิคณะก้าวหน้า" ส่งเสริมระบอบ ปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง!
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร เรื่อง จดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิคณะก้าวหน้า” ระบุว่า ด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ยื่นคําขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิคณะก้าวหน้า ต่อนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร
โดยวัตถุประสงค์ของมูลนิธิดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ส่งเสริมการศึกษา วิจัย ด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ 2.ส่งเสริมการแปลหนังสือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย 3.เผยแพร่ความรู้หรือผลงานการศึกษาวิจัยด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอื่นๆ ให้แพร่หลายแก่ประชาชน 4.ส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ดําเนินกิจกรรมค่ายศึกษาอบรมเกี่ยวกับการเสริมสร้างค่านิยมประชาธิปไตย 5.ส่งเสริมและให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่ยากไร้
6.ส่งเสริมและสนับสนุนการสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้สูงอายุคนพิการและผู้ด้อยโอกาส 7.ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมการกีฬาทุกประเภท 8.เพื่อส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด
โดยมูลนิธิคณะก้าวหน้ามีทุนเริ่มแรกและทรัพย์สินของมูลนิธิ คือ เงินสด จํานวน 500,000 บาท มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานกรรมการ รวมถึงมีนายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช เป็นกรรมการ โดยมีกรรมการทั้งสิ้น 13 คน
ซึ่งนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร มีคําสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธินี้แล้ว เลขทะเบียน ลําดับที่ กท 3181 ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2564 ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 115 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ประกาศ ณ วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2564 นายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร
สำหรับกรรมการมูลนิธิคณะก้าวหน้า ประกอบด้วย 1.นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ 2.นายชํานาญ จันทร์เรือง รองประธานกรรมการ 3. นายพงศกร รอดชมภู รองประธานกรรมการ 4.นายสุรชัย ศรีสารคาม รองประธานกรรมการ 5.นายปิยบุตร แสงกนกกุล กรรมการ 6.นางสาวพรรณิการ์ วานิช กรรมการ 7.นายเดชรัต สุขกําเนิด กรรมการ 8.นายสุนทร บุญยอด กรรมการ 9.นายชัน ภักดีศรี กรรมการ 10.นายเจนวิทย์ ไกรสินธุ์ กรรมการ 11.นายไกลก้อง ไวทยการ กรรมการ 12.นางสาวเยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการและเหรัญญิก 13.นางสาวกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ กรรมการและเลขานุการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า กรรมการมูลนิธิคณะก้าวหน้า ส่วนใหญ่เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563 รวม 12 คน ประกอบด้วย นายธนาธร นายชำนาญ นายพงศกร นายสุรชัย นายปิยบุตร น.ส.พรรณิการ์ นายสุนทร นายชัน นายเจนวิทย์ นายไกลก้อง น.ส.เยาวลักษณ์ และ น.ส.กุลธิดา ส่วนนายเดชรัต เป็นอดีตอาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. อัยการยื่นฟ้อง "วิรัช รัตนเศรษฐ" กับพวก 87 คน ต่อศาลฎีกานักการเมืองแล้ว คดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอลนครราชสีมา!
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายสายัน จันทะรัง พนักงานอัยการสำนักงานปราบปราบทุจริต 2 และคณะทำงาน ได้นัดส่งตัวยื่นฟ้องคดีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ประธานวิปรัฐบาล กับพวกรวม 87 คน เป็นจำเลยในคดีทุจริตสนามฟุตซอลโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คดีนี้ ทาง ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนการสอบสวน พร้อมชี้มูลความผิดนายวิรัช สมัยเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ร่วมกับพวกรวม 87 คน ทุจริตเงินจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ.2555 จัดสร้างสนามฟุตซอลให้กับโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษา 18 จังหวัด มูลค่า 4,459 ล้านบาท รวมทั้งโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษา เขต 2 จ.นครราชสีมาด้วย แต่ปรากฏว่า การสร้างสนามฟุตซอล ใน จ.นครราชสีมา กลับสร้างไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถใช้งานได้
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ภายหลัง ป.ป.ช. ส่งสำนวนมาให้แล้ว อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการปราบปรามทุจริต 2 เป็นคณะทำงานขึ้นมารับผิดชอบสำนวนคดีนี้ ซึ่งพิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งฟ้องนายวิรัช รัตนเศรษฐ ผู้ต้องหาที่ 1 และมีจำนวนผู้ต้องหาทั้งหมด 87 คน โดยแต่ละคนจะข้อหาไม่เหมือนกัน แต่ในภาพรวม 14 ข้อหาด้วยกัน
ประกอบด้วย เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ทุจริตในการร่วมกันออกแบบ กำหนดเงื่อนไขอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม, เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ร่วมกันกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยรัฐ หรือกระทำการใดๆโดยมิได้มุ่งหมายแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม, เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร่วมกระทำความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ, เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติพิจารณาหรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคาครั้งใด รู้หรือมีพฤติการณ์แจ้งชัดว่า ควรรู้ว่าการเสนอราคาในครั้งนั้นมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยรัฐ เพื่อให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับเสนอราคาในครั้งนั้น, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต
เป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ, เป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ ทำเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสารในการปฏิบัติการตามหน้าที่รับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น หรือกระทำการอย่างใดต่อหน้าที่ของตนอันเป็นเท็จ, ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใด เป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสได้เสนอราคาอย่างเป็นธรรม, ตกลงร่วมกันเสนอราคา มีวัตถุประสงค์เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นผู้มีสิทธิในการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสาร, ร่วมกันใช้เอกสารปลอม, สนับสนุนเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเจ้าพนักงานของรัฐในการทำหน้าที่โดยทุจริต, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 11, 12, 13, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151,157,162, 264, 265, 268, 83, 86, 91
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน ในจังหวัดนครราชสีมา ได้ทยอยเดินทางเข้ารายงานตัวตามนัดของพนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 2 จำนวน 81 คน ส่วนอีก 6 คนไม่มารายงานตัวและขอเลื่อน โดยอ้างเหตุผลว่า อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สำหรับผู้ต้องหาที่ขอเลื่อน 6 คนนั้น นายประยุทธ์ กล่าวว่า แบ่งเป็นบุคคล 5 คน และนิติบุคคล 1 แห่ง ส่วนใหญ่อ้างประเด็นสถานการณ์โควิด-19 แต่ไม่ได้ป่วยหรือติดเชื้อโควิด-19 โดยนายวิรัชและนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ภรรยา ผู้ต้องหาที่ 1-2 ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อ้างว่าอยู่ในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการยื่นฟ้องต่อศาล จึงแจ้งกลับไปว่า ไม่อนุญาตให้เลื่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีนี้จำเลยเป็นนักการเมือง พนักงานอัยการมีความรู้สึกหนักใจหรือไม่ นายประยุทธ ยืนยันว่า อัยการทำสำนวนคดีตามพยานหลักฐาน ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่มีประเด็นนอกสำนวน หรือการเมือง ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
สำหรับขั้นตอนหลังอัยการยื่นฟ้อง ทางศาลฎีกาฯ จะรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อส่งเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อคัดเลือกองค์คณะ 9 คน โดยองค์คณะดังกล่าวจะเป็นผู้มีคำสั่งว่า จะประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ หากศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณา จะมีคำสั่งให้นายวิรัช หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือไม่
ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดฟังคำสั่งว่า จะประทับรับฟ้องคดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอล จ.นครราชสีมา หรือไม่ ในวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 10.00 น.
4. ตำรวจรวบ 2 นักศึกษา ม.ขอนแก่น คาบ้านพัก หลังภาพวงจรปิดมัด ก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์!
ความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 02.30 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนร่วมกันเผาพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ ๑๐ บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จนได้รับความเสียหายทั้งหมด หลังเกิดเหตุ พลเมืองดีได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ศพฐ.4 ได้เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าว ซึ่งเห็นภาพชัดเจนว่า มีผู้ร่วมก่อเหตุ 2 คน ทั้งคู่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์
ล่าสุดมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ย. เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นได้นำหมายค้นพร้อมหมายจับเข้าตรวจค้นห้องพักของผู้ต้องสงสัย 2 จุด และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุได้ คือ นายเจมส์ (ชื่อเล่น) มีหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่นที่ จ.181/2564 และนายบอส (ชื่อเล่น) หมายจับที่ จ.182/2564 ลงวันที่ 16 กันยายน 2564
โดยทั้งคู่มีความผิดในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ พร้อมกับยึดรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ HONDA รุ่น JAZZ สีขาว คันหมายเลขทะเบียน กร 3740 อุบลราชธานี ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการทำผิดขณะก่อเหตุเป็นของกลาง อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ให้การภาคเสธ
ด้าน พล.ต.ต.เนติพงศ์ ธาตุทำเล รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะโฆษก ภ.4 ได้ออกมาเตือนว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อกล่าวหาผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน มีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท
รายงานแจ้งว่า การลงมือก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว ถือว่าอุกอาจ ท้าทายอำนาจรัฐอย่างมาก และไม่เกรงกลัวความผิดมาตรา 112 เพราะพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ติดกับถนนมิตรภาพ ขอนแก่น-อุดรธานี และเป็นที่สงสัยกันอย่างมากว่า ขณะก่อเหตุ ทำไม รปภ.ของโรงพยาบาลที่อยู่เวรบริเวณดังกล่าวจึงไม่เห็น ทั้งที่ช่วงเวลาเกิดเหตุ ค่อนข้างดึก แทบจะไม่มีคนสัญจรเข้าออกโรงพยาบาล หรือมีการวางแผนเป็นขบวนการไว้ล่วงหน้าหรือไม่
นอกจากนี้หลายฝ่ายคาดว่า ผู้ต้องหา 2 คนดังกล่าวอาจเป็นกลุ่มเดียวกับบุคคลที่นำธงชาติที่ตั้งอยู่เหนือตึกอธิการบดี ม.ขอนแก่น (หลังเก่า) ลง แล้วชักธงปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ขึ้นแทน และอาจเป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวกันกับที่นำผ้าที่เขียนด้วยข้อความหยาบคายไปคลุมอนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พร้อมกับเทเลือด จนหุ่นปั้นจอมพลสฤษดิ์เปรอะเปื้อน ซึ่งอนุสาวรีย์ฯ ตั้งอยู่ในสวนรัชดานุสรณ์ ติดกับศาลากลางขอนแก่นเมื่อหลายเดือนก่อน
5. ศบค. ยัน ยังไม่เปิด "กรุงเทพแซนด์บ็อกซ์" 15 ต.ค. ด้าน สธ. เตรียมฉีดไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 12-17 ปี ต.ค.นี้!
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังทรงๆ ขึ้นๆ ลง โดยเมื่อวันที่ 13 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12,583 ราย มีผู้เสียชีวิต 132 ราย, วันที่ 14 ก.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,786 ราย มีผู้เสียชีวิต 136 ราย, วันที่ 15 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,798 ราย มีผู้เสียชีวิต 144 ราย, วันที่ 16 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,897 ราย มีผู้เสียชีวิต 188 ราย, วันที่ 17 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,555 ราย มีผู้เสียชีวิต 171 ราย ล่าสุด 18 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,109 ราย มีผู้เสียชีวิต 122 ราย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้แถลงความร่วมมือระหว่าง กทม.กับ สปสช.ในการแจกแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK 2,026,000 ชุด ให้กลุ่มเสี่ยงใน กทม.
นพ.จเด็จ กล่าวว่า การแจก ATK ให้ประชาชน เนื่องจากมีข้อมูลว่า การที่ประชาชนใช้ชุดตรวจ ATK ตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง จะช่วยให้ได้รับการรักษาหรือเข้ากักตัวได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย กทม.เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่ง ATK จะแจกจ่ายผ่านศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) หรือร้านขายยา ให้กลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยง
ด้าน พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า มีกำหนดเริ่มแจกชุดตรวจ ATK ให้ประชาชนนำไปตรวจหาเชื้อได้เองที่บ้านตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. โดยกลุ่มที่ได้รับแจก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ชุมชนแออัด 210,000 ชุด จำนวน 420,000 ชุด กลุ่มแรกที่จะได้รับคือ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อโควิด เช่น ไอ มีไข้ เจ็บคอ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่วนกลุ่มที่ 2 ประชากรในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น ตลาด 410,000 ชุด ขนส่งสาธารณะ 440,000 ชุด ร้านเสริมสวย 20,000 ชุด ร้านนวด สปา 56,000 ชุด ครูอาจารย์ 300,000 ชุด ซึ่งจะได้รับบริการผ่านสำนักงานเขต ร้านขายยา หรือศูนย์บริการใกล้บ้าน คนละ 2 ชิ้น และรับฟังการสาธิตการใช้งานที่ถูกต้องจาก อสส. เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ
พล.ต.ท.โสภณ กล่าวด้วยว่า ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถประเมินความเสี่ยงผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ได้ หากพบว่ามีความเสี่ยง สามารถเข้าไปรับชุดตรวจได้ที่ร้านขายยา หรือศูนย์บริการใกล้บ้านได้เลย หากไม่มีแอพพ์เป๋าตัง ก็ไปเข้ารับบริการได้ที่ร้านขายยา หรือศูนย์บริการใกล้บ้านได้เช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับกลุ่มนักเรียนนั้น เมื่อวันที่ 13 ก.ย. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงว่า จากการหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมในการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ด้วยการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม แก่กลุ่มผู้มีอายุ 12-17 ปี 11 เดือน 29 วัน ณ วันที่ฉีด โดยจะอนุโลมให้แก่กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุเกิน 17 ปี 11 เดือน 29 วันด้วย ครอบคลุมนักเรียน นักศึกษา ระดับชั้น ม.1-6 ปวช.ปวส.หรือเทียบเท่า รวมถึงชั้น ป.6 ที่มีอายุ 12 ปี
น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า “ในเดือน ต.ค.จะเริ่มฉีดให้แก่นักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน ตั้งเป้าหมายให้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน โดยที่ประชุม ศบค.อนุมัติในหลักการให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์แก่นักเรียน นักศึกษาทุกสังกัด ทั้งในและนอก ศธ. รวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และกรุงเทพมหานคร ที่มีนักเรียนนักศึกษากว่า 4.5 ล้านคน”
ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชนทั่วไปนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ว่า ปลัด สธ.รายงานว่า พร้อมฉีดในวันที่ 24 ก.ย.นี้ ตรงกับวันมหิดล เป็นวันสำคัญของวงการแพทย์และสาธารณสุข นับเป็นขวัญกำลังใจให้คนทำงานด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มที่ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนทางเลือกที่เริ่มฉีดวันแรกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. และฉีดครบ 2 เข็มในวันที่ 15 ก.ค. สามารถรับวัคซีนเข็มที่ 3 ตามข้อกำหนดของกรมควบคุมโรคได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หลักการคือ รัฐบาลไทยพร้อมฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนเชื้อตายครบ 2 เข็มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการเก็บข้อมูลการฉีดวัคซีนไว้ว่า ฉีดครบ 2 เข็มในวันใด โดยวัคซีนซิโนฟาร์มจะยังไม่ได้ฉีดเข็มที่ 3 ในรอบนี้ เพราะมีช่วงเวลาการฉีด รอบนี้กำหนดว่า จะฉีดเข็มที่ 3 ให้ประชาชนที่รับเชื้อตายไปช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.2564 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งได้ฉีดไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนความคืบหน้าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายเปิดประเทศภายใน 120 วันของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเปิดเพิ่ม 5 จังหวัด ตามแผนระยะที่ 2 ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี (พัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) เชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า) เพชรบุรี (ชะอำ) และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) ซึ่งจะเริ่มเปิดในวันที่ 1 ต.ค.นี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เผยเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ว่า จากการหารือร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นพบว่า ขณะนี้มี 4 จังหวัดที่พร้อมเปิดในวันที่ 1 ต.ค. ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
ส่วนกรุงเทพฯ นั้น ได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 15 ต.ค.นี้แทน เนื่องจากประชากรในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังได้รับวัคซีนไม่ถึง 70% ตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่วางไว้ แม้พบว่าประชากรได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เกิน 70% แล้ว แต่เข็มที่ 2 ยังอยู่ที่ 37% ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จึงต้องรอระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และการสร้างภูมิ การเปิดกรุงเทพฯ รับต่างชาติจึงล่าช้ากว่าเป้าหมาย 2 สัปดาห์ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 ก.ย. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ได้แถลงความชัดเจนการเปิดพื้นที่นำร่องในการรับนักท่องเที่ยวในหลายจังหวัด รวมถึงในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการเปิดกรุงเทพแซนด์บ็อกซ์ในเดือน ต.ค.นี้ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้หารือกับกรุงเทพฯ และมีการเสนอแผนว่า จะมีการจัดพื้นที่นำร่องกรุงเทพแซนด์บ็อกซ์ ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ซึ่งที่ประชุม ศปก.ศบค.รับทราบ แต่ยังไม่ถือเป็นมติที่อนุมัติในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากการเสนอแผนจะต้องทำเป็นขั้นตอน โดยพื้นที่จะต้องมีการหารือร่วมกับส่วนที่เกี่ยวข้อง และจะต้องเสนอผ่านกระทรวงสาธารณสุขให้มีการตรวจสอบเรื่องมาตรการอย่างรอบคอบ และรัดกุม เพราะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ใหญ่และมีความหลากหลายในหลายพื้นที่ คงจะต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียด เมื่อกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแล้ว ก็จะมีการหารือร่วมกับ ศปก.ศบค. และนำเสนอ ศบค.เพื่อให้ความเห็นชอบ