“ต่อพงษ์” ซัดรัฐประหาร 19 กันยาฯ ทำไทยเผชิญทศวรรษที่สูญเปล่า เศรษฐกิจล้มเหลว สูญเสียโอกาสมากมาย สุมความขัดแย้งมาถึงปัจจุบัน สับ รธน.60 ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ปชช. ชี้ต้องไม่ให้เกิดรัฐประหารอีก
เมื่อวันที่ 18 ก.ย.64 นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์บทความเนื่องในวาระครบรอบ 15 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยระบุว่า
ถ้าไม่มีรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศไทยจะก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างไร?
การตัดสินใจทำรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน ในวันนั้น ได้เปลี่ยนประเทศไทยเข้าสู่ทศวรรษที่สูญเปล่า เป็นประเทศที่ล้มเหลว ทางการเมืองการปกครอง เผชิญหน้าความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจ เกิดความแตกแยกของผู้คนในสังคม จนยากที่จะประสานให้กลายเป็นเน้ือเดียวกันแบบเดิมได้
ในปี 2549 ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความยั่งยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่มีบทบัญญัติที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน, นายกรัฐมนตรีที่ต้องเป็นผู้แทนของประชาชน มีองค์กรอิสระในการตรวจสอบ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่มีการเลือกตั้งโดยใชรัฐธรรมนูญ 2540 นับเป็นคร้ังแรกที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ตอบสนองต่อประชาชนอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า พัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยทำให้อำนาจของ ‘รัฐราชการ’ ที่เคยครอบงำ และมีบทบาทอิทธิพลเหนือระบบการเมือง ต้องลดบทบาทและถอยหลังออกจากระบบการเมืองไทย
ในเวทีโลก รัฐบาลประชาธิปไตยได้รับการยอมรับและมีบทบาทนำ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ทวีปเอเชีย และในระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี สามารถชำระหน้ี ท่ีมีต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้หมดก่อนกำหนดเวลาการชำระหน้ี
โครงการสาธารณะขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาค เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ,ความเหลื่อมล้ำของประชาชนในชาติ ถูกลดช่องว่างลง ผ่านโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ,สินค้าหน่ึงผลิตภัณฑ์ หน่ึงตำบล แต่ที่สาคัญ ที่สุดคือประชาชนไทยเข้าถึงบริการ สาธารณสุขในโครงการหลัก “ประกันสุขภาพแห่งชาติ”
น่าเสียดายที่ระบอบประชาธิปไตยกำลังตั้งมั่นอย่างมั่นคง ระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ต้องมาหยุดชะงักจากการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549
กลไกของรัฐราชการและนักการเมืองจำนวนหน่ึง ที่พ่ายแพ้ต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้ร่วมทฤษฎีสมคบคิด ในการทำรัฐประหาร
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ บาดแผลของการทำรัฐประหารยังฝังอยู่ในส่วนลึกของสังคมไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ในทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิเสียง มีสิทธิเสรีภาพ ได้กลายเป็นความทรงจำอันพร่าเลือน หลังจากรัฐประหารในวนั้น ยังมีการทารัฐประหารอีกคร้ังในวันที่ 22 พ.ค.2557
มีการจำกัด สิทธิ เสรีภาพของประชาชน โดยใช้มาตรา 44 อำนาจของประชาชนในการปกครองประเทศ ถูกยึดอำนาจไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซ้ำร้ายเสียงของประชาชนก็ถูกอำนาจเผด็จการ ปิดปากและทำร้าย อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในทางสังคม รอยร้าวความแตกแยกของความคิดทางการเมือง ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ไดทำให้ประเทศน้ี ไม่สามารถกลับไปเป็นสังคมแห่งความสันติสุขแบบเดิม
ในทางเศรษฐกิจ นับแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยถดถอย ลงเป็นลำดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกถูกทำลายลง โดยเฉพาะวิสัยทศัน์ของผู้นำจากการทำรัฐประหาร ที่ไม่เข้าใจ และรอบรู้ในเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
วันที่ 19 ก.ย.64 นี้จะเป็นวันครบรอบ 15 ปี ของรอยด่าง ประชาธิปไตยในประเทศไทยอันเกิดจากการทำรัฐประหารในปี 2549
เราขอเรียกร้องให้คืนสิทธิเสรีภาพ อำนาจของประชาชนที่ถูกริดรอนไป โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และขอให้การทำรัฐประหารสิ้นสุดไปจากสังคมไทย เพราะระบอบประชาธิปไตยคือ แนวทางการแก้ไขปัญหา และหาทางออกให้กับสังคมได้อย่างดีที่สุด.
เมื่อวันที่ 18 ก.ย.64 นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์บทความเนื่องในวาระครบรอบ 15 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยระบุว่า
ถ้าไม่มีรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศไทยจะก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างไร?
การตัดสินใจทำรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ บุณยะรัตกลิน ในวันนั้น ได้เปลี่ยนประเทศไทยเข้าสู่ทศวรรษที่สูญเปล่า เป็นประเทศที่ล้มเหลว ทางการเมืองการปกครอง เผชิญหน้าความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจ เกิดความแตกแยกของผู้คนในสังคม จนยากที่จะประสานให้กลายเป็นเน้ือเดียวกันแบบเดิมได้
ในปี 2549 ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความยั่งยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่มีบทบัญญัติที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน, นายกรัฐมนตรีที่ต้องเป็นผู้แทนของประชาชน มีองค์กรอิสระในการตรวจสอบ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน
นับตั้งแต่ปี 2544 ที่มีการเลือกตั้งโดยใชรัฐธรรมนูญ 2540 นับเป็นคร้ังแรกที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ตอบสนองต่อประชาชนอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า พัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยทำให้อำนาจของ ‘รัฐราชการ’ ที่เคยครอบงำ และมีบทบาทอิทธิพลเหนือระบบการเมือง ต้องลดบทบาทและถอยหลังออกจากระบบการเมืองไทย
ในเวทีโลก รัฐบาลประชาธิปไตยได้รับการยอมรับและมีบทบาทนำ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ทวีปเอเชีย และในระดับโลก ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี สามารถชำระหน้ี ท่ีมีต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้หมดก่อนกำหนดเวลาการชำระหน้ี
โครงการสาธารณะขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาค เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ,ความเหลื่อมล้ำของประชาชนในชาติ ถูกลดช่องว่างลง ผ่านโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ,สินค้าหน่ึงผลิตภัณฑ์ หน่ึงตำบล แต่ที่สาคัญ ที่สุดคือประชาชนไทยเข้าถึงบริการ สาธารณสุขในโครงการหลัก “ประกันสุขภาพแห่งชาติ”
น่าเสียดายที่ระบอบประชาธิปไตยกำลังตั้งมั่นอย่างมั่นคง ระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ต้องมาหยุดชะงักจากการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549
กลไกของรัฐราชการและนักการเมืองจำนวนหน่ึง ที่พ่ายแพ้ต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้ร่วมทฤษฎีสมคบคิด ในการทำรัฐประหาร
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ บาดแผลของการทำรัฐประหารยังฝังอยู่ในส่วนลึกของสังคมไทยอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ในทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิเสียง มีสิทธิเสรีภาพ ได้กลายเป็นความทรงจำอันพร่าเลือน หลังจากรัฐประหารในวนั้น ยังมีการทารัฐประหารอีกคร้ังในวันที่ 22 พ.ค.2557
มีการจำกัด สิทธิ เสรีภาพของประชาชน โดยใช้มาตรา 44 อำนาจของประชาชนในการปกครองประเทศ ถูกยึดอำนาจไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซ้ำร้ายเสียงของประชาชนก็ถูกอำนาจเผด็จการ ปิดปากและทำร้าย อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในทางสังคม รอยร้าวความแตกแยกของความคิดทางการเมือง ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ไดทำให้ประเทศน้ี ไม่สามารถกลับไปเป็นสังคมแห่งความสันติสุขแบบเดิม
ในทางเศรษฐกิจ นับแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยถดถอย ลงเป็นลำดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกถูกทำลายลง โดยเฉพาะวิสัยทศัน์ของผู้นำจากการทำรัฐประหาร ที่ไม่เข้าใจ และรอบรู้ในเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
วันที่ 19 ก.ย.64 นี้จะเป็นวันครบรอบ 15 ปี ของรอยด่าง ประชาธิปไตยในประเทศไทยอันเกิดจากการทำรัฐประหารในปี 2549
เราขอเรียกร้องให้คืนสิทธิเสรีภาพ อำนาจของประชาชนที่ถูกริดรอนไป โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และขอให้การทำรัฐประหารสิ้นสุดไปจากสังคมไทย เพราะระบอบประชาธิปไตยคือ แนวทางการแก้ไขปัญหา และหาทางออกให้กับสังคมได้อย่างดีที่สุด.