เมืองไทย 360 องศา
ในท่ามกลางอุณหภูมิการเมืองที่เริ่มร้อนระอุมากขึ้นทุกวัน รวมไปถึงความเสี่ยงไปถึงขั้นยุบสภาในราวต้นปีหน้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ และความเคลื่อนไหวที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ถือว่ามีโอกาส “พลิกผัน” ได้ในชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ดี ตัวแปรสำคัญที่สุดในเวลานี้น่าจะมาจากความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ ที่เชื่อมโยงไปถึงฝั่งรัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “กลุ่มสาม ป.” อันประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรค - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
แม้ว่าล่าสุดปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ จะ “ถูกกดเอาไว้ชั่วคราว” เพื่อลดแรงกระเพื่อม และไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย จึงออกมาในลักษณะให้ทุกฝ่าย “หยุดการเคลื่อนไหว” และรอให้บรรยากาศคลี่คลายและตกผลึกเมื่อผ่านช่วงเวลาไปสักระยะหนึ่ง เพราะภาพ “แตกหัก” ย่อมไม่เกิดประโยชน์ และยังไม่ถึงเวลาที่จะต้อง “ฆ่าตัวตาย” ดับอนาคตทางการเมืองในเวลานี้
ดังนั้น จึงได้เห็นบรรยากาศภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการประชุม ส.ส.และคณะกรรมการบริหารพรรค ที่รัฐสภาที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน และมี ส.ส.และแกนนำจากทุกกลุ่มเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งผลการประชุมออกมาตามที่ยืนยันก่อนหน้านี้ ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ยังเป็นเลขาธิการพรรคต่อ ไป นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ก็ยังเป็นเหรัญญิกพรรคต่อไป รวมไปถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคคนอื่นอีกด้วย
ภาพที่ออกมาจึงออกมาตามที่ยืนยันกันมีแต่ “กลุ่มประวิตร” เท่านั้นไม่มีกลุ่มอื่น ซึ่งเป็นความพยายามทำให้ “สงบนิ่ง” เอาไว้ชั่วคราว อย่างน้อยก็ก่อนวันประชุมสัมมนาพรรคพลังประชารัฐที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าที่หาดชะอำ จ.เพชรบุรี ในเดือน ต.ค.นี้
ถึงตอนนั้นต้องจับตากันอีกครั้งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคหรือไม่ หากไม่เปลี่ยนแปลงก็ถือว่าทุกอย่างต้องอยู่ร่วมกันไปในลักษณะ “ถ่วงดุล” กันในหลากหลายกลุ่ม เหมือนกับหลายพรรคใหญ่ในต่างประเทศ
หรือไม่ก็มีการ “แยกวง” ออกไปของ ทีม ร.อ.ธรรมนัส ไปตั้งพรรคใหม่ตามที่มีข่าวว่า มีชื่อ “พรรคอีสานล้านนา” หรือเปล่า ซึ่งการตั้งพรรคอาจไม่ยากนัก แต่การทำให้ได้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
อย่างไรก็ดี เมื่อปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ “ถูกกด” เอาไว้ชั่วคราว อย่างน้อยก็ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนถึงวันประชุมใหญ่ในเดือนหน้า ก็ต้องหันมาจับตามองอีกพรรคหนึ่งที่มา “แบบเงียบๆ” นั่นคือ พรรคภูมิใจไทย ที่ว่ากันว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหากยังรักษาทรงแบบนี้เอาไว้ได้ยาวๆ บอกได้เลยว่า “ไม่ธรรมดา” แน่นอน
เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ ถือว่าเป็นพรรคที่มี “กระสุน” ที่สะสมตุนเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ มีพร้อมทั้ง “กลุ่มทุนหนัก” ในพรรคตั้งแต่หัวหน้าพรรค คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มาจนถึงกลุ่ม “พลังงาน” น้องใหม่ที่มาแรงที่ปักฐานในพื้นที่ภาคใต้ทั้งภาค ต่อเนื่องมาจนถึงภาคกลางเชื่อมต่อถึงชุมพรมาจนถึงเพชรบุรี เลยทีเดียว
สังเกตหรือไม่ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย มี “พลังดูด” ส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาหลายสิบคนแล้ว เริ่มจาก “งูเห่า” รุ่นแรกของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกขับออกมา จากนั้นมาอีกล็อตใหญ่จากการยุบพรรคอนาคตใหม่
รวมไปถึงพวก “ฝากเลี้ยง” ไว้ตามพรรคต่างๆ โดยเฉพาะพวก “งูเห่าขาประจำ” ในพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่ามีจำนวนไม่น่าจะน้อยกว่า “หลักสิบคน” ก็เป็นไปได้
ภาพที่ปรากฏชัดเจนก็น่าจะสืบเนื่องมาจากการโหวตในศึก “ซักฟอก” ที่ผ่านมา ที่หลายคนมัวไปโฟกัสการเคลื่อนไหวและคะแนนเสียงโหวตให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เกือบลืมสังเกตไปว่า ในเสียงโหวตของทั้งบรรดา “งูเห่า” ทั้งในพรรคก้าวไกล ที่มีทั้งประเภทชัดเจนในบทบาทเป็น “องครักษ์” พิทักษ์ หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในฐานะ รมว.คมนาคม จากกรณีของ นายคารม พลพรกลาง ซึ่งยังมีซุ่มอยู่อีกหลายคน
ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่า “ไปแน่” โดยเฉพาะ รายที่ออกลีลามากที่สุด ก็คือ นายศรัณย์วุฒิ ศรัณเกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ ที่เชื่อว่าน่าจะไปซบพรรคภูมิใจไทย ค่อนข้างแน่ เป็นตัวอย่างชัดเจน
และที่น่าจับตาก็คือ ส.ส.ในกลุ่ม “อีสานใต้” ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ “กลุ่มชิดชอบ” ที่มี นายเนวิน ชิดชอบ เป็นหัวเรือใหญ่ และอีกหลายคนที่ต้าน “พลังดูด” ไม่ไหว หรือ สมัครใจย้ายมาก็ไม่น้อย
หากพิจารณากันแบบเท่าที่เห็นความเคลื่อนไหวที่มาแบบเงียบๆ ไม่สร้างความขัดแย้งกับใครชัดเจน ขณะที่มีกลุ่มทุนและ “กระสุน” ตุนเอาไว้เต็มกระเป๋า และยังมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลไม่ว่าจะ “ออกหน้าไหน” ก็ตาม
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่าจะเป็นพรรคขนาดกลาง และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ก็ยังถือว่าไม่น่าจะเสียเปรียบมากนัก อย่างน้อยเมื่อดูด ส.ส.ตัวหลักเข้ามาเพียบอยู่แล้ว
ก็ทำให้น่าจับตามองว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป น่าจะกลายเป็นพรรคใหญ่อีกพรรค และทำเป็นเล่นไป “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจฝันหวานนั่งนายกฯคนต่อไปก็ได้!!