ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ศึกน้ำลายของ “2 ตู่” ท่านก็แค่ ผบ.ตร. แต่ผมนี่นายกฯ ประสบการณ์ต่างกันเยอะ
ศึกซักฟอกรัฐบาลครั้งนี้ ได้รับความสนใจไม่น้อย เพราะเรื่องที่จะอภิปรายเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่ประชาชนต้องอยู่อย่างหวาดผวามาเกือบ 2 ปีเต็ม ...นั่นคือ การบริหารจัดการปัญหาไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลที่ “ล้มเหลว” ทั้งในเรื่องของการจำกัดวงแพร่ระบาด จำนวนคนติดเชื้อ คนตายพุ่งพรวดพราด การบริหารจัดการวัคซีนล่าช้า ได้วัคซีนที่ไม่ตรงใจประชาชน รวมทั้งการออกคำสั่ง “ล็อกดาวน์” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาวบ้านเป็นวงกว้าง
ดังนั้น คนที่โดนหนักสุดย่อมเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศบค. ที่รวบอำนาจสั่งการมาไว้ที่ตัวเอง...“ซิงเกิล คอมมานด์”
และบรรยากาศก็ดุเดือดตั้งแต่เริ่ม เมื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อ่านญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ ฝ่ายค้านจัดเพื่อ “บิ๊กตู่” โดยเฉพาะแบบจากเบาไปหาหนัก... เริ่มจาก บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต พฤติการณ์ฉ้อฉล ปล่อยปละละเลย แสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง …
…ไร้องค์ความรู้ ไร้จริยธรรม ไร้ศีลธรรม เป็นผู้นำที่ขี้ขลาด โง่ โกง ใจดำ ไร้หัวใจความเป็นมนุษย์ โอหัง คลั่งอำนาจ ค้าความตาย...
ถ้อยคำในญัตติ ดุเดือด เลือดพล่าน จนทำให้เครียดกันทั้งห้องประชุมสภา รวมทั้งผู้นำฝ่ายค้านที่เป็นคนอ่านญัตติด้วย เพราะมีการอ่านนามสกุลของ “บิ๊กตู่” ผิดไปถึง 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น “จันทร์โอชา” ก็ไปอ่านเป็น “ยงใจยุทธ” เรียกเสียงฮาทั้งห้องประชุม รวมทั้งผู้ติดตามการถ่ายทอดสดที่อยู่ทางบ้านด้วย
อีก “ไฮไลต์” ที่แฟนๆ เฝ้ารอก็คือ การอภิปรายของ “บิ๊กตู่ตำรวจ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ว่าจะถล่ม “บิ๊กตู่ทหาร” ที่เป็นรุ่นน้อง ได้ดุเดือดแค่ไหน เพราะภาพการอภิปรายครั้งที่แล้ว ยังจำติดตา ติดใจแฟนๆ
รอบนี้ “เสรีพิศุทธ์” บอกว่าขออภิปราย “น้องตู่” คนเดียว ว่านอกจากตัวเองไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานแล้ว ยังไม่ฟังคนอื่น เพราะเคยเป็นทหาร สั่งซ้ายหัน ขวาหัน ก็คิดว่ารัฐมนตรี ปลัดกระทรวงเป็นทหาร จึงสั่งซ้ายหัน ขวาหัน เลยเละ ...อย่าว่าแต่เป็นนายกฯเลย เป็นยามเฝ้าบ้านผมก็ไม่เอา
อีกอย่างคือ เป็นนายกฯ แต่หาเงินไม่เป็น เก่งแต่กู้ ไม่รู้กฎหมาย มีแต่ผลาญ มีแต่กู้ จนได้ฉายานักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปแล้ว ซ้ำร้ายคือ กู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ เอาไปใช้ในโครงการต่างๆ แบบซื้อเสียงล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน คนละครึ่ง เราชนะ ม33เรารักกัน และอื่นๆ อีก หวานแหวว โครงการดีเหลือเกิน แต่ระหว่างทางถูกโกงไปไม่รู้เท่าไหร่
“เสรีพิศุทธ์” ยังตบท้ายด้วยเรื่องซื้ออาวุธ ว่า เอามาเป็นเครื่องมือปราบปรามประชาชน เด็กออกมาไล่ ก็ถูกจับกุมดำเนินคดี ไม่ให้ประกันตัว จนทำให้ติดโควิดกันระนาว ตอนนี้ม็อบเด็กซา เพราะพ่อแม่กลัวลูกติดโควิด ทราบข่าวว่า ส่งทหารไปข่มขู่ บอกพ่อ แม่ ว่าอย่าให้ลูกออกมานะ ถูกดำเนินคดี เป็นโควิดหมด จนเกิดม็อบผู้ใหญ่ ตามมา ก็มีการสั่งตำรวจปราบ ยิงแก๊สน้ำตา จับกุม
เจอ “เสรีพิศุทธ์” ยกเอาความเป็นรุ่นพี่เข้าข่มแบบนี้ “บิ๊กตู่” ถึงกับลุกขึ้นตอบโต้ทันควัน แบบเกทับ บลัฟแหลก ว่า ที่เราคิดไม่ตรงกัน เพราะมีประสบการณ์ที่ต่างกัน
...ท่านเป็นแค่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ท่านอ้างว่า ผมไม่รู้เรื่องนู้นเรื่องนี้ ใช้เงินเพื่อปูพื้นฐานทางการเมือง ท่านรู้ดีเหลือเกิน ผมไม่เคยทำแบบนี้ งบเอามาใช้ตามสถานการณ์โควิด ทั้งสิ้น ใช้จ่ายตามแผนการ ตามระเบียบ ผมไม่สามารถไปชี้นิ้วอะไรได้เลย ทุกอย่างผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบทุกประการ สถานะทางการการเงินของประเทศไทย ก็ยังดีอยู่มาก เวิลด์แบงก์ ยังรับรอง
ส่วนเรี่องที่ท่านบอกว่าผมใช้อาวุธ แต่ผมไม่เห็นตำรวจใช้อาวุธจริงสักคน ท่านมองไม่ออกหรือว่าอันไหนอาวุธจริง หรืออาวุธปลอม อันไหนกระสุนจริง กระสุนปลอม มีแต่ตำรวจถูกยิงทุกวัน แล้วทำไมถึงบอกว่าตำรวจใช้ความรุนแรง ...อย่าไปดูแต่ภาพในโซเชียลฯ เพราะขึ้นอยู่กับฝ่ายไหนจะเอาออกมา แต่ยืนยันว่า ไม่มีการสั่งการให้ตำรวจใช้อาวุธจริง ก็คอยดูต่อไปว่าใครเป็นผู้ที่ทำให้เรื่องเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยแรงสนับสนุนจากใคร
อยากฝากไปถึงประชาชนที่ฟังอยู่ ให้ดูหน้าผม ผมพูดจากหัวใจ จากสมองที่ท่านบอกว่าน้อยนิดของผม แต่ท่านอย่าลืมว่า ผมมีประสบการณ์ 6-7 ปีมาแล้ว นี่คือ ความแตกต่างที่ผมอาจจะรู้มากกว่าท่าน...
อภิปรายวันแรก ก็มีปะทะคารมกันพอหอมปากหอมคอ...อันว่า สงครามนั้นรบเพื่อเจรจา ซักฟอก ก็เพื่อต่อรอง ...อย่าเห็นว่าศัตรูของศัตรู คือมิตร เพราะในช่องว่างนั้นมี “ผลประโยชน์” คั่นอยู่ !!
**“ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์” ส.ส.สาวเจ้าของสติกเกอร์ขอแสงบนถังออกซิเจนช่วยโควิด คือ ใครกัน??
ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชาวเน็ตว่า “หิวแสง” ลงทุนน้อย คนเห็นเยอะ งานดี, น่าอายจริงๆ พวกหน้าด้านนี้, นักการเมืองคือคนที่ฉวยโอกาสโดยแท้, ประสงค์ออกนามแต่ไม่ประสงค์ออกเงิน เป็นต้น เมื่อปรากฏสติกเกอร์ภาพของ ส.ส.หญิงคนหนึ่ง ติดหราอยู่บนถังออกซิเจน ทับชื่อของมูลนิธิฯ ที่เขาช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดตัวจริง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า วันก่อนมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “รณยุทธ กุลพันธ์” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย โพสต์ภาพพร้อมข้อความ เล่าเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้ “มูลนิธิกระจกเงา” ได้นำถังออกซิเจนไปช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 และมีสีสเปรย์พ่นบนถัง ว่า มาจากมูลนิธิกระจกเงา จากนั้นเมื่อนำกลับมา กลับพบว่ามีสติกเกอร์ของนักการเมืองหญิงรายหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย นำมาติดทับบนถังออกซิเจนดังกล่าวมาด้วย
ผู้โพสต์ระบุข้อความว่า “ก่อนส่งให้ผู้ป่วยมีพ่นชื่อไว้แค่มูลนิธิกระจกเงา แต่ตอนส่งกลับทำไมมันมีสติกเกอร์อะไรติดมาด้วยวะเนี่ย นี่พวกคุณไม่คิดจะลงทุนอะไรกันเลยเหรอครับ”
เมื่อซูมดูกันชัดๆ ก็เห็นว่า ภาพบนสติกเกอร์ดังกล่าวเป็นชื่อของ ส.ส. “อิ่ม” ดร.ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตลาดกระบัง เลยถามไถ่กันมาว่า เธอเป็นใครกัน ?
ว่ากันว่า “ดร.ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์” ถือเป็นขวัญใจของชาวลาดกระบัง เพราะเป็น ส.ส.ที่ขยันลงพื้นที่ ด้วยรากฐานที่เป็นครอบครัว “นักการเมือง” เป็นทายาทของ “วิบูล สำเร็จวาณิชย์” อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตลาดกระบัง (พ.ศ. 2518) และ นางทองดี สำเร็จวาณิชย์ มีพี่น้อง 7 คน
ปีนี้ อายุ 42 จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปริญญาโทและปริญญาเอก จากประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันขึ้นสถานะว่า โสด
ก่อนเข้าสู่วงการการเมือง เธอเคยทำงานอยู่แผนกพัฒนาบุคลากร ฝ่ายยุทธศาสตร์การจัดการเรียนรู้แก่ผู้บริหารระดับสูง ธนาคารกสิกรไทย
เธอได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาแล้ว 2 สมัย ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ. 2554 สังกัดพรรคเพื่อไทย เขตลาดกระบัง อันเป็นฐานเสียงของครอบครัว โดยสามารถเอาชนะ “สลวยเลิศ กิมสูนจันทร์” ภรรยา มงคล กิมสูนจันทร์ อดีต ส.ส.และสมาชิกบ้านเลขที่ 109 จากพรรคประชาธิปัตย์ได้
จากนั้น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคเพื่อไทย ก็ได้รับเลือกกลับมาอีกครั้ง
การไปมีสติกเกอร์ขอแสงเนียนๆ บนถังออกซิเจนช่วยผู้ป่วยโควิดแบบไม่เหมาะสม จนถูกวิจารณ์
งานนี้ต้องถือว่าพลาดอย่างแรง ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นฝีมือทีมงาน หรือจะเป็นผู้หวังดีประสงค์ร้าย.. ฝีมือใครก็ไปไล่บี้กันเองนะจ๊ะ