“สมพงษ์” นำทัพฝ่ายค้านเปิดซักฟอก “บิ๊กตู่-5 รมต.” ซัดบริหารล้มเหลว ทุจริตฉ้อโลก ร่วมมือ “อนุทิน” ค้าความตาย โกยประโยชน์อื้อ บนซากศพ-คราบน้ำตา ปชช. ใจดำ โอหัง คลั่งอำนาจ ลั่นหมดเวลาปล่อยคนโง่นำประเทศ ชี้อันตรายร้ายแรงพาคนไทยตายหมด
วันนี้ (31 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.45 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาวาระสำคัญ คือ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ของฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ประกอบด้วย
1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข
3. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน
4. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
5. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์
และ 6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยบรรยากาศในห้องประชุม มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี มาร่วมฟังการอภิปรายอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ได้กล่าวเปิดญัตติดังกล่าว โดยบรรยายพฤติการณ์ต่างๆ ของบุคคลทั้ง 6 สรุปใจความว่า
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 19 เดือนเศษ ปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการของตนในลักษณะ “กลืนน้ำลายตัวเอง” ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการป้องกัน ควบคุม การระบาดของโรคในหลายเรื่องจนเกิดวิกฤต มีคนติดเชื้อเป็นล้านคนในเวลาเพียง 4 เดือนเศษ เพราะ “ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว” เกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน คนไทยตกอยู่ในสภาพสุขภาพกายเสื่อม สุขภาพจิตทรุด
นอกจากนี้ ยังบริหารจัดการวัคซีนให้กับประชาชนล่าช้า เลื่อนลอย ไม่ทันกับการแพร่ระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากทุกวัน การจัดหาเครื่องมือเป็นไปโดยทุจริต ส่วนมาตรการควบคุมโรคก็ไร้ทิศทาง ผิดเป้าหมาย และแผนงาน และไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและความเสียหายจากมาตรการของรัฐ อาทิ การล็อกดาวน์ การสั่งปิดสถานประกอบการ โดยขาดการศึกษาวิเคราะห์ที่ดีพอ อันนำมาสู่ความเสียหายจนทำให้ภาคธุรกิจต้องเลิกกิจการจำนวนมาก การดำรงชีวิตของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก เกิดภาวะตกงานต้องกลับไปต่อสู้ดิ้นรนยังภูมิลำเนาบ้านเกิด มาตรการที่กำหนดขึ้นทั้งจากการปิดเมือง ปิดโรงงาน กำหนดข้อห้ามต่างๆ ออกข้อกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่สามารถหยุดยั้งหรือลดการแพร่ระบาดของโรคได้จนส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมาก แต่กลับนำมาใช้จ่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่ลำดับความสำคัญของการใช้เงินไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง สร้างภาระหนี้สาธารณะจนชนเพดานหนี้สาธารณะ ตามกฎหมาย และหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจ SME ต้องล้มเลิกกิจการจำนวนมาก ร้านค้าหลายประเภทต้องปิดกิจการ คนตกงาน และมาตรการที่ออกมาไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ
นายสมพงษ์ ยังระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่หลายเรื่อง ทั้งการจัดหาวัคซีนที่ปิดบังอำพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติ อีกทั้งแอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน มีผลทำให้ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง พวกพ้อง และข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง ทั้งการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า หลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายเการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเปิดประตูให้มีการทุจริต กระจายวัคซีนโดยเลือกปฏิบัติ ไม่สร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมทั้งที่เอกชนและโรงพยาบาลเอกชนประสงค์จะช่วยจัดหาและจัดซื้อวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน
“พล.อ.ประยุทธ์ มีลักษณะ “ค้าความตาย” เห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข โดยหวังกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาของประชาชน เพิกเฉยละเลยทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่หลากหลายและทั่วถึง ภายใต้โครงการ Covax จนกระทั่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องออกมาขอโทษประชาชน เมื่อมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนยังลุอำนาจจัดการกัยประชาชนที่มาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุตลอดมา ตามนิสัยความถนัดของตนเอง จนกล่าวได้ว่าประเทศกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง”
นอกจากนี้ ยังยังปล่อยปละละเลยให้รัฐมนตรีหลายคนกระทำการทุจริตต่อหน้าที่และจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยละเว้นไม่ติดตามผลข้อสั่งการว่าได้รับการปฏิบัติหรือไม่ และในฐานะ รมว.กลาโหม ยังเห็นชอบและปล่อยปละละเลยให้มีการเสนอและใช้จ่ายงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์การสู้รบใดๆ การบริหารแผ่นดินและการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ทำให้ประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ กลายเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก
“พล.อ.ประยุทธ์ และพวกพ้อง ไม่ยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง “ใจดำ” ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จนทำให้ตนเองอยู่ในสภาพของคนเป็นโรค “โอหังคลั่งอำนาจ” ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป ดังนั้น หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถที่จะหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ และไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานทั้งจากโรคและการดำรงชีวิต บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น อันจะนำมาซึ่งความหายนะของประเทศชาติอย่างแท้จริงตามที่มีการกล่าวกันว่า “ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่ คือ ภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ” ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุ