เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นเรื่อง “ตลกร้าย” และระคนเศร้าไปพร้อมๆ กัน กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งจากกรณีเกิดเหตุของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ หรือ “ผู้กำกับโจ้” กับพวกรวม 7 คน ที่ก่อเหตุใช้ถุงดำคลุมหัวทรมานผู้ต้องหาจนทำให้ถึงแก่ความตาย และต่อมามีการตั้งข้อหา มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาสารพัด
และอีกคดีที่เหมือนกับเป็นทุกข์ซ้ำกรรมซัดเกิดเรื่องอื้อฉาวที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ซ้ำขึ้นมาอีก เมื่อเกิดคดีหญิงสาวถูกรุมโทรม แต่เมื่อไปแจ้งความมานานกว่า 5 เดือน คดีไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งเมื่อเจ้าทุกข์ไปร้องเรียนกับสื่อ และเป็นเรื่องอื้อฉาวบานปลาย ทำให้มีการ “จับกุม 6 ผู้ต้องหาอย่างฉับไว” แบบไม่ทันข้ามวัน พร้อมทั้งมีการสั่งย้ายผู้กำกับการสถานีตำรวจ และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจดังกล่าว
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถานีตำรวจ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมไปถึงการบริหารงานภายในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่มีผู้บัญชาการคนเดียวกันกับคดีของ “ผู้กำกับโจ้” ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ บางครั้งถึงได้บอกว่ามันเป็นเรื่อง “เศร้า ตลก และสะอิดสะเอียน” เต็มที จนไม่รู้ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนดี
เริ่มจากกรณีของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “ผู้กำกับโจ้” ที่ก่อนหน้านั้น มีการแถลงข่าวใหญ่โต นำโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีการเปิด “โฟนอิน” ให้ผู้ต้องหาได้ตอบคำถามจากสื่อมวลชนไปด้วย นัยหนึ่งเพื่อหวังว่าให้เกิดความโปรงใส และให้สิทธิผู้ต้องหา แต่กลายเป็นว่า สังคมมองเป็น “การเล่นละคร” ตบตา แทบทุกอย่างถูกมองคลุมเครือ กระทั่งมีความคิดเลยเถิดไปว่า ไม่ใช่ผู้ต้องหาตัวจริง แต่เป็น “ตัวปลอม” ไปโน่นอีก เพราะยังไม่เคยเห็นหน้า ประกอบกับผู้ต้องหารายนี้ “ดีกรีไม่ธรรมดา” อย่างน้อยก็มีฐานะร่ำรวย มีรถสปอร์ตหรูราคาแพงนับสิบคัน อายุเพียงแค่ 39-40 ต้นๆ เท่านั้น แต่เป็นถึงผู้กำกับสถานีอำเภอเมืองนครสวรรค์ พื้นที่เกรดเอ รวมไปถึงยังมี “สถานะเป็นว่าที่ลูกเขย” ของผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง แม้ว่าจะปฏิเสธหนักแน่นก็ตาม
ขณะเดียวกัน ทางระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีการแต่งตั้งคณะนายตำรวจระดับสูงที่มีระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และยังโอนคดีมาให้กองปราบปรามเป็นผู้ดูแล เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือกว่าเดิม แทนที่จะเป็นตำรวจในท้องที่ รวมไปถึงการรื้อฟื้นคดีต่างๆ ในอดีต เช่น กรณีการจับกุมรถหรูของอดีตผู้กำกับรายนี้ เนื่องจากมีสถิติการจับกุมนับร้อยคัน เพื่อหวังรางวัลนำจับ ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งมันก็กลายเป็นเรื่อง “ตลกขบขัน” และสะท้อนการทำงานจนต้องตั้งคำถามว่า ทำไมถึงต้องมาตื่นตัวกันในเวลานี้ เพราะหากไม่เกิดขึ้นอื้อฉาวขึ้นมาก่อน ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปตามปกติหรือไม่ ซึ่งสะท้อนการทำงานของระบบตำรวจไปได้อีกมุมหนึ่ง
อย่างไรก็ดี สำหรับ “ผู้กำกับโจ้” รายนี้เวลานี้ถูกตั้งข้อหาประดังเข้ามาเป็นพรวน เช่น ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง ถูกดำเนินคดีอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และถูกห้ามประกันตัว นำไปฝากขังที่เรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ในเวลานี้
ส่วนอีกคดีที่อื้อฉาวและสะท้อนการทำงานของตำรวจ และระบบได้อย่างดี ก็คือ คดีรุมโทรมหญิงสาว ที่ผ่านมากว่า 5 เดือน แต่คดีไม่คืบหน้าจนต้องไปร้องเรียนกับสื่อจนถูกประจาน และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียลฯ จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาอย่างฉับไวเพียงไม่กี่ชั่วโมง และก็ตามสูตร คือ ตามมาด้วยการย้ายผู้กำกับสถานี และพนักงานสอบสวนในคดีไปนั่งประจำที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
ทั้งสองกรณีหากมองอีกมุมถือว่าเป็นตัวเร่งให้เกิดการ “ปฏิรูปตำรวจ” ได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะกลายเป็นว่า ภาพลักษณ์ของตำรวจตกต่ำจนเรียกว่า “ไร้เครดิต” ในสายตาของประชาชน และยิ่งการสั่งย้าย การจับกุม รวมไปถึงการรื้อฟื้นเรื่องราวเก่าๆ มาสอบสวน เช่น การรื้อคดีการจับกุมรถหรูในอดีตเพื่อเอาผิด “ผู้กำกับโจ้” เพิ่มเติม มันก็ยิ่งดูแปลกๆ
เอาเป็นว่านาทีนี้สำหรับตำรวจแล้วถือว่ามีภาพลักษณ์ที่ “สะสมภาพลบ” มาจนถึงขีดสุดแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องเกิดการ “ปฏิรูป” โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันในการอำนวยความยุติธรรมให้กับชาวบ้าน และยังรวมไปถึงการสร้างหลักประกันให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยรวมอีกด้วย จะต้องทำให้การวิ่งเต้น การซื้อขายตำแหน่ง เบาบางลงไป สามารถสร้างตำรวจมืออาชีพขึ้นมาให้มากที่สุด ซึ่งจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องปฏิรูปโครงสร้างกันอย่างขนานใหญ่ และที่ผ่านมา ก็มีการศึกษาสำรวจกันมาแล้วมากมาย แต่เป็นเพราะถูก “ดอง” ถูกยื้อเอาไว้ จนไม่มีความคืบหน้าไปไหนสักที
และหนึ่งในนั้นที่ถูกกล่าวหามาตลอด ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันยังกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรงอีกด้วย ว่าเป็นตัวการสำคัญที่ยื้อการปฏิรูปตำรวจมาตลอด ตั้งแต่ในยุคที่เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาไม่รู้กี่ชุดจนจำไม่หวาดไม่ไหว ล่าสุด ก็มีการ “ยำ” ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ จนผิดเพี้ยนไปจากร่างเดิมในชุดที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นผู้นำยกร่าง และเวลานี้ก็ไปค้างอยู่ในสภา ในขั้นกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งเขาก็อ้างว่าเป็นเรื่องของสภา “ลอยตัว”
ดังนั้น หากต้องการเรียกความศรัทธาให้กลับคืนมา และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้อง “แอ็กชัน” ให้ชัดเจนกว่านี้ ว่า ต้องการ “ปฏิรูปตำรวจ” ให้เป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่ซื้อเวลาจนเรื่องเงียบหายเหมือนเช่นทุกครั้ง และแม้ว่าคราวนี้อีกไม่นานเชื่อว่าคดีของ “ผู้กำกับโจ้” จะซาไปหรือมีเรื่องใหม่ขึ้นมากลบก็ตาม แต่หากไม่ดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรมอีก ในอนาคตที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็น่าจะเป็น “ลุงตู่” นั่นแหละ !!