“กล้อง” ใครก็ถือ คล้องคอได้ แต่ “อาร์ต พศุตม์” มาพร้อมเหตุผลในหลวง ร.๙ ทรงถือกล้องไปทุกที่ จับได้คาโซเชียล “ลูกนัท” ตอบคอมเมนต์สามกีบเรื่องแว่น จงใจแต่งกายล้อเลียน? หากแตะ ม.112 ตัดขาด ครอบครัวรู้ยัง?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 ส.ค. 64) จากกรณี “ไฮโซลูกนัท” หรือ นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มทะลุฟ้ากับม็อบ 22 สิงหาคม ได้แต่งกายสวมสูทสีเทา เสื้อด้านในเป็นเชิ้ตสีขาว พร้อมกับสะพายกล้อง และมีผ้าปิดดวงตาที่ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้ตาขวาบอดนั้น ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการล้อเลียนที่คนไทยทั้งประเทศรับไม่ได้
กรณีดังกล่าว “อาร์ต พศุตม์” ได้โพสต์ถึงในหลวง ร.๙ และเหตุผลที่ทรงถือกล้องไปทุกที่ ผ่านอินสตาแกรม art_phasut98 ระบุว่า...ชุดอื่นๆ ท่านก็เคยใส่ เข้าป่าลงพื้นที่ แล้วที่ท่านถือกล้องไปทุกที่ เพราะท่านจะถ่ายภาพสถานที่นั้นแล้วกลับมาแก้ปัญหา ของแต่ละพื้นที่...
แล้วสิ่งประดิษฐ์ที่พ่อหลวงของเราทรงประดิษฐ์ขึ้นนั้น มีมากมายหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพอันปราดเปรื่องและพระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อปวงชนชาวไทย ที่ต้องการเห็นพสกนิกรของพระองค์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขสบายและสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ประสบอยู่ จะทรงแก้ไขปัญหา อุปสรรค ที่ประชาชนพบนั้น ให้ลุล่วงไปด้วยดี
ตัวอย่างเช่น โครงการ เรื่องการปรับปรุงสภาพดินเปรี้ยว เพื่อให้เหมาะแก่การเพาะปลูก ที่เรียกว่า โครงการแกล้งดิน ทำให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกพืช ได้พืชผลในที่ดินของตนที่คิดว่า ไร้ประโยชน์ กลับพลิกฟื้นขึ้นมา มีประโยชน์ สามารถได้ผลผลิตไปกินไปใช้และนำผลผลิตไปขายเพื่อการดำรงชีพ
อีกโครงการหนึ่งที่แก้ไขให้ชาวไร่ชาวนา คือ เรื่องความแห้งแล้ง ขาดฝน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้เกษตรกรทุกข์ยากลำบาก พระองค์ก็ได้คิดค้น โดยการดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อให้เกิดฝน ที่พวกเราเรียกว่า “การทำฝนเทียม” เป็นโครงการสิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ จนมีหลายประเทศมาขอนำสิ่งที่พระองค์ประดิษฐ์นี้ไปใช้ในประเทศของตน ซึ่งประสบปัญหาภาวะฝนแล้ง เมื่อนำโครงการของพระองค์ท่านไปใช้แล้ว ก็สามารถแก้ไขฝนแล้งได้ (สยามรัฐออนไลน์)
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็นร้อนที่ยังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบ
“แถไม่ขึ้น!? เปิดหลักฐาน “ลูกนัท” หลุดตอบคอมเมนต์สามกีบ ชัดเจน จงใจแต่งกายล้อเลียน!!”
โดยระบุว่า หลังจากวานนี้ (22 ส.ค.) นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ลูกนัท ในฐานะแนวร่วมของกลุ่มทะลุฟ้า ได้ปรากฏตัวครั้งแรกหลังออกจากโรงพยาบาล ภายหลังเข้ารับการรักษาจากการได้รับบาดเจ็บ จากเหตุสลายการชุมนุมที่แยกดินแดง จนเป็นเหตุให้ตาข้างขวาบอด? ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมกับกลุ่มทะลุฟ้า จากแยกคอกวัวมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยถือป้ายที่มีข้อความว่า “ภราดรภาพของประชาชน” นำหน้าขบวน
โดย นายธนัตถ์ ถูกวิจารณ์วิจารณ์ถึงการแต่งกายที่ส่อเจตนาพาดพิงล้อเลียนในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งเจ้าตัวปิดตาขวาที่บอด สวมสูท และสะพายกล้อง เข้ามาร่วมเดินในม็อบ และได้ออกมาโพสต์ปฏิเสธว่า
ความตลกคือ สรุปว่า กูตั้งใจไปทำตัวเองตาบอด เพื่อที่จะใส่สูท ถือกล้อง ล้อเลียน..?
คือทำไม การใส่สูท ที่เป็นเครื่องแต่งกายปกติ ตามรสนิยม แต่ละคน + ถือกล้อง ที่มีไว้ถ่ายรูป ถึง = ล้อเลียน? ชอบใส่สูทแล้วอยากจะถ่ายรูปพร้อมกันไม่ได้ งี้หรอ?
งั้นคือ ต่อไปนี้ ประเทศนี้ ห้ามคน ตาบอด 1 ข้าง ใส่สูทพร้อมถือกล้อง? ปัญญาอ่อน กันไปใหญ่ ปล่อยวางบ้างเถอะ ผมไม่ได้จะล้อเลียนใคร ผมแค่บังเอิญตาบอด 1 ข้าง แล้วชอบใส่สูท แล้ววันนี้จะถ่ายรูป เลยเอากล้องไป ขี้เกียจจะมาทะเลาะเป็นศัตรูกับใคร เอาเป็นว่าแล้วแต่จะสบายใจนะจ้ะ สลิ่มทั้งหลาย นี่คือถ้า 4G ล่ม ละกูเปิด google map ไม่ได้ ต้องเปิดแผนที่หาทางกลับบ้าน ก็ด่ากูอีก งี้หรอ? ของเค้ามีไว้ใช้มะ…
ทั้งนี้ การปฏิเสธไม่ได้จงใจล้อเลียนของลูกนัท ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้น เนื่องจากมีคนเข้ามาคอมเมนต์ด้วยว่า ขาดแว่นนะ เจ้าตัวตอบกลับว่า มันติดผ้าที่พันตา
ขณะที่หลายคนที่ติดตามลูกนัทก็มองออกถึงเจตนาของเจ้าตัว พร้อมบอกว่า ได้กินพิซซ่าแน่ โดยในโซเชียลได้มีการเทียบภาพการแต่งกายของลูกนัท ที่หากสวมแว่นจะยิ่งมีเจตนาล้อเลียนที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากการเลือกสีสูท สีกางเกง และการสะพายกล้องนั้น เหมือนมีการเลือกมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
และล่าสุด หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้อเลียนนั้น เจ้าตัวก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า อยากเรียน online กับ อาจารย์ Somsak Jeamteerasakul อะครับ ใครสะดวกติดต่อให้ได้มั้ยครับ ไม่ทราบท่านจะสะดวกสอนผมมั้ย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า นายสมศักดิ์นั้น เป็นหนึ่งในแนวร่วมที่หนุนม็อบ 3 นิ้ว และมีการโพสต์พาดพิงสถาบันฯมาอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ ประเด็นที่ครอบครัวเคยขู่เอาไว้ว่าจะตัดขาดลูกนัท หากไม่เลิกแตะ ม.112 วันนี้ยิ่งถลำลึก ครอบครัวรู้หรือไม่?
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.64 ครอบครัวธนากิจอำนวย ได้แจ้งกรณีอาการบาดเจ็บของนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย (คุณลูกนัท) ตามที่ได้ปรากฏข่าวสารเผยแพร่ทั่วไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ว่า นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย (ลูกนัท) ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าและดวงตาจากการดำเนินการควบคุมและสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและแยกดินแดง กรุงเทพมหานคร จนต้องเข้ารับการตรวจรักษาจากคณะแพทย์นั้น
ในประการแรก นายธนัตถ์ ได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลฉีกขาดเป็นรูปครึ่งวงกลมที่บริเวณคิ้วขวา ลักษณะเกิดจากการถูกกระแทกด้วยวัตถุของแข็งไม่มีคม ลักษณะเป็นกระบอกกลม ซึ่งคณะแพทย์ผู้ตรวจรักษาได้ตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่า นายธนัตถ์ มีแผลบวมช้ำที่เบ้าตาขวาและมีบาดแผลฉีกขาดที่คิ้วขวา กระจกตาขวาฉีกขาด ลูกตาขวาแตก จอประสาทตาขวาลอก
จากนั้น นายธนัตถ์ จึงได้เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากคณะแพทย์ด้วยการผ่าตัดแล้ว ปัจจุบันมีอาการเบื้องต้นปลอดภัยและทรงตัว แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์เพิ่มเติมต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลามากกว่า 6 เดือน โดยแพทย์มีความเห็นว่า ภายหลังการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ดวงตาข้างขวาของนายธนัตถ์ฯ จะไม่สามารถมองเห็นได้อีก”
ก่อนหน้านี้ นายธนัตถ์ ทายาทนักธุรกิจบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ประกาศขอเข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ ของกลุ่ม นายสมบัติ ในวันที่ 1 สิงหาคม โดยโพสต์ภาพพร้อมระบุว่า “แล้วพบกัน! รถผมสีดำ ทะเบียน 8800 นะจ้ะ”
นอกจากนี้ ยังโพสต์ข้อความว่า คนในครอบครัวคนหนึ่ง ขอให้ผมตัดขาดตัวเองออกจากครอบครัว ถ้าไม่ยอมเลิกแตะ ม.112 น่าเสียดายที่จริงๆ พอมีหลักการ compromise ที่ถูกแนะนำโดยอาจารย์ที่เคารพของผมท่านหนึ่ง ว่า เราอาจจะไม่ต้องเดินหน้ายกเลิก ม.112 ทันที แต่ให้แก้ไขโทษ ให้ punishment befit the crime เช่น ให้เป็นโทษปรับทางแพ่งเพียงอย่างเดียว
แต่สุดท้ายแล้วสมาชิกครอบครัวไม่ยอมรับหลักการ compromise ใดๆ เลย ดังนั้น ในเมื่อเราไม่สามารถ compromise กันอย่างที่ว่า และเราคงไม่สามารถละทิ้งอุดมการณ์ เพื่อแลกกับข้อเสนอที่จะให้เงินมากมายให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แบบสบายๆ ได้ จึงขอยืนหยัดต่อสู้ข้างประชาชนและประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบครับ
ขณะที่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) ชี้แจงไม่เกี่ยวข้องกับกรณีทายาทอดีตผู้บริหารแสดงความคิดเห็นสาธารณะ จากการที่มีการเผยแพร่ข่าวและการสื่อสารในสื่อออนไลน์ อ้างอิงถึงการมีทายาทอดีตผู้บริหารโนเบิล แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิด-19 บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงว่า โนเบิล เป็นองค์กรธุรกิจเอกชนที่มีเจตนารมณ์ในการดำรงความเป็นกลางต่อการแสดงความคิดเห็น
อย่างไรก็ตาม นายธนัตถ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับทางบริษัท สำหรับเหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทางบริษัทมีความห่วงใยและติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก ก็คือ การเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน” หรือ แม้แต่เรียกร้องยกเลิก ม.112 และหรือ แก้ไขให้โทษเบาลงก็ตามนั้น
พฤติกรรมที่ผ่านมา เรียกได้ว่า มีท่าทีที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก ไม่สมควรที่ “สถาบัน” จะคล้อยตาม เพราะเริ่มจากการจับผิดต่างๆนานา บิดเบือนให้ร้าย โดยกลุ่มผู้ลี้ภัยจากต่างประเทศ ที่กฎหมายไทยเอื้อมเอาผิดไม่ถึง แล้วก็ขยายผลในโลกโซเชียล ก่อนที่จะนำข้อเรียกร้อง ขึ้นสู่เวทีม็อบธรรมศาสตร์ไม่ทน ของ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โดย “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หนึ่งในแกนนำ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ ซึ่งล้วนแต่มีข้อห้าม และลดพระราชอำนาจที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากการบีบบังคับ โดยกลุ่มคน มิใช่มติมหาชน หรือ ประชาชนอย่างแท้จริง
อีกอย่าง ต้องไม่ลืมว่า แนวคิด ไม่เอาสถาบัน ก่อนที่จะมาเป็นม็อบเยาวชนปลดแอก หรือ ม็อบสามกีบ เคยมีกระแสปลุกปั่นจากนักวิชาการสามกีบมาตลอด จนมีกลุ่มขึ้นมาอย่างท้าทาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงทุนเคลื่อนไหวเอง ส่วนใครเป็นใคร มีข่าวออกมามากมายอยู่แล้ว และพวกนี้ก็ยังสนับสนุนให้ท้ายม็อบเด็กอยู่ตลอดเวลา ต่อให้ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธ และไม่สันติวิธีแล้ว อย่างที่เป็นอยู่ก็ตาม
ขณะเดียวกัน ก็เท่ากับเป็นการข่มเหงจิตใจคนไทยให้เห็นด้วย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความจงรักภักดีอย่างสูง เรื่องนี้ แม้แต่ปรมาจารย์สามกีบ อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็เคยออกมายอมรับว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และไม่มีทางลุกฮือเข้าร่วม ตรงข้ามกลับแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่า ต่อต้านอย่างรุนแรง
ประเด็นก็คือ จำเป็นอย่างไร ที่จะต้องเร่ง ปฏิรูปสถาบัน ราวกับเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุด ทั้งที่รอได้ (จนกว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นด้วย) เพราะปัญหาใหญ่ คือ โรคระบาดร้ายแรง โควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านร้านตลาด ที่หวังว่า หลังเลือกตั้ง จะมีตัวแทนของตัวเองเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงต่อสู้เพื่อปากท้อง ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ฯลฯ ซึ่ง การปฏิรูปสถาบันไม่ได้อยู่ในความคิดคนไทยเลย ไม่ว่าโพลสำนักไหน
แต่ปัญหา ปฏิรูปสถาบัน เป็นปัญหาของนักการเมืองบางกลุ่มที่เคยมีพรรคการเมือง แต่ถูกยุบ จึงไม่พอใจอย่างมาก ทั้งที่เป็นความผิดตัวเอง แต่อ้างถูกกลั่นแกล้ง ไม่อยากให้อยู่ในการเมือง จึงชักชวนสาวกออกมาชุมนุมแบบ “แฟลชม็อบ” จนที่สุดสาวกใกล้ชิด ก็ออกมาก่อม็อบเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน ตามที่คนกลุ่มนี้ชี้นำ และสนับสนุน อย่างออกหน้าออกตา
หรือแม้แต่ “ม็อบไล่ประยุทธ์” ถ้าวิเคราะห์ให้ดี ก็แค่ “โรคแทรก” จากคนที่ต้องการกลับมามีอำนาจทางการเมือง จากแดนไกล อย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์เชื่อมโยงกับแกนนำเคลื่อนไหว
สรุปแล้ว ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาของประชาชน และไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง
แต่ปัญหาเร่งด่วนแท้จริง คือ เรื่องโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ประชาชนล้มตาย และติดเชื้อมากมายมหาศาล เรื่องการทำมาหากินของประชาชนสะดุดหยุดลง และลำบากยากเข็ญในการดำรงชีวิต และเรื่องเศรษฐกิจของประเทศมีผลกระทบอย่างสูงจากเรื่องนี้ด้วย ส่วนเรื่องการเมือง กวนเมือง ทั้งหลายก็มีแต่ซ้ำเติมเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของประชาชน
ดูเหมือนสิ่งที่ประชาชนต้องการในเวลานี้คือ ทุกคน ทุกภาคส่วน ควรหันหน้าเข้าหากันเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาโควิด-19 ให้หลุดพ้นไปโดยเร็ว และช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องคนยากจน เกษตรกร ชาวบ้านร้านตลาด ในขณะเดียวกัน
หาไม่ ไม่ว่าจะมีกี่สิบ กี่ร้อย กี่แสน กี่ล้านลูกไฮโซ ออกมาเคลื่อนไหว ก็คงบังคับขืนใจคนไทยไม่ได้ ไม่เชื่อก็คอยดู!!!