สภาถกงบฯ ปี 65 วาระ 2 “อาคม” หลัง กมธ.ปรับลด-โอนงบประมาณยันคำนึงถึงการแก้ปัญหา-ภารกิจแก้โควิด ระบุ เติมงบกลาง 1.6 หมื่นล้าน- เปลี่ยนงบฯ ส.ปลัดกระทรวงทรัพย์ 38 ล้าน ให้ กก.ที่ดินแห่งชาติ ฝ่ายค้านอภิปรายมาตรา 4 ชี้ ทำงบฯ ผิดกฎหมายเลือกตั้ง “พิธา” ชี้มีงบไขมันซ่อนกว่าหมื่นล้าน เสนอ รับโครงสร้างรัฐราชการไทยแก้ปัญหาระยะยาว
วันนี้ (18 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระสอง หลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ซึ่งมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นประธานพิจารณาแล้วเสร็จ เป็นวันแรก โดยเสนอรายงานอย่างสรุปต่อที่ประชุม ว่า ร่างพ.ร.บ.งบฯ 65 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท กมธ. ปรับลด 16,362 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มงบประมาณ ให้กับงบกลางรายการค่าใช้จ่ายบรรเทาแก้ปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการะบาดของโควิด ตามจำนวนที่ปรับลดงบประมาณ นอกจากนั้น ยังอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณ พ.ศ. 2565 ส่วนของ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 38 ล้านบาท เป็นงบประมาณของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม
“การปรับลดและเพิ่มงบปะมาณให้ความสำคัญ ต่อความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงาน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ภารกิจเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 รายการจำเป็นเร่งด่วน เป็นประโยชน์กับประชาชน เพื่อให้ดำเนินการตามกรอบวงเงินงบประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท ตามที่สภาฯ รับหลักการวาระแรก” นายอาคม กล่าว
จากนั้นที่ประชุมเข้าสู่การพิจารณา เป็นรายมาตรา ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 65 มีจำนวนมาตราทั้งสิ้น 42 มาตรา โดยมีการแก้ไขทั้งสิ้น 31 มาตรา สำหรับมาตราที่ไม่แก้ไข มีทั้งสิ้น 11 มาตรา แต่มีกรรมาธิการสงวนความเห็น และมี ส.ส.ลงชื่อแปรญัตติไว้
ทั้งนี้ สมาชิกได้อภิปรายในมาตรา 4 งบประมาณรายจ่ายฯ 3.1 ล้านล้านบาท ที่ขอให้ปรับลดหลักแสนล้านบาท เนื่องจากพบการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศ รวมถึงพบการจัดงบประมาณที่ไม่เหมาะสมกับสภาพและเหตุการณ์ของบ้านเมือง
โดย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า งบประมาณปี 2565 ที่ปรับลดเมื่อเทียบกับปี 2564 และ ปี 2563 พบว่า งบที่ลดคือ งบดำเนินงาน และงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน รวมถึงไม่มีโครงการที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลได้หาเสียงไว้กับประชาชน ตนขอปรับลด 4% หรือ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลจัดงบเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ซื้ออาวุธ เครื่องบิน หรือส่ิงที่ไม่จำเป็น
“งบประมาณรอบนี้ คือ โอกาสสุดท้ายที่จะปรับเปลี่ยนงบเพื่อช่วยเหลือประชาชน ให้พรรคซีกรัฐบาลนำไปใช้สำหรับนโยบายที่หาเสียงเลือกตั้งกับประชาชน ที่รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ตั้งไว้ เพราะหากไม่ดำเนินการ คาดว่า จะมีผู้ยื่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และนำไปสู่ศาลฏีกา” นายวรวัจน์ อภิปราย
นายวรวัจน์ อภิปรายด้วยว่า การลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบฯ ถือว่ายากลำบากและเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เพราะไม่มีงบประมาณที่ใช้เพื่อดำเนินนโยบายของพรรคการเมือง เช่น พรรคพลังประชารัฐ ต่อการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน, เงินเดือนปริญญาตรี 2 หมื่นบาท, อาชีวะ 1.8 หมื่นบาท, พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 4 ปี, ตั้งกองทุนหมู่บ้านพลังประชารัฐ หมู่บ้านละ 2 ล้านบาท, พรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศนโยบาย เด็กแรกเกิดรับ 5,000 บาท เดือนต่อไปจนถึง 8 ปี เดือนละ 1,000 บาท, เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท, พรรคภูมิใจไทย ต่อค่าแรง อสม. 800-1,000 บาท เป็นต้น
ทางด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ฐานะ กมธ. อภิปรายให้ปรับลดงบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพราะยังพบกลุ่มงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์การแก้ไขวิกฤต แบ่งเป็น 3 กลุ่มไขมัน คือ ไขมันความมั่นคง ที่พบว่ามีงบจัดซื้ออาวุธในกระทรวงกลาโหม หรืองบซื้อปืนตำรวจ, ไขมันกลุ่มก่อสร้าง เป็นงบก่อสร้าง บ้านพัก, สร้าอาคาร แม้งบปี 2565 จะถูกตัด 1,000 ล้านบาท จากเงินทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท ถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับงบสวัสดิการประชาชน เช่น งบประกันสังคม ตัด 1.9 หมื่นล้านบาท, งบสวัสดิการประชาชน ตัด 2 หมื่นล้านบาท และ ไขมันที่เป็นงบพิรุธ การจัดซื้อในมูลค่าที่สูงกว่าราคาตลาด ตนเชื่อว่าหากตัดได้อีก จะประหยัดความฟุ่มเฟือยของประเทศได้อีกหลายหมื่นล้านบาท
“ทางเลือกระยะยาวสำหรับการประหยัดงบประมาณ ต้องปรับโครงสร้างรัฐราชการไทย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เป็นต้นเหตุ งบซ้ำซ้อน ไม่ชัดเจน เช่น กลาโหม มีหน่วยงานด้านกฎหมาย เช่น กรมพระธรรมนูญสำนักงานพระธรรมนูญทหาร กระทรวงคมนาคม มีกรมท่าอากาศยาน และ การท่าอากาศยาน, มีกรมทางหลวง และ กรมทางหลวงพิเศษ เป็นต้น ทั้งที่หน่วยงานดังกล่าวมีบทบาทเหมือนกัน”
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ควรปรับโครงสร้างงบประมาณให้ตอบสนองวิกฤต เช่นค่าใช้จ่ายบุคลากร เงินเดือนข้าราชการ คิดเป็น 40 เปอร์เซนต์ของงบประมาณทั้งหมด เพิ่มขึ้นทุกปี คงเพิ่มต่อเนื่องในงบประมาณปี 66และปี67 แต่การจัดเก็บรายได้น้อยกว่าที่ตั้งไว้ อีกไม่นานสำนักงบประมาณจะปรับลดเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ หากไม่รื้อโครงสร้างงบประมาณใหม่ ส่วนการกระจายอำนาจ ที่ผ่านมาส่วนกลางหวงอำนาจ ไม่กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ โครงการแก้มลิง 100 กว่าโครงการของกรมชลประทาน การตัดถนนทางหลวงชนบทของกรมทางหลวงชนบท หรือกระทั่งการเก็บผักตบชวาที่หน่วยงานส่วนกลางไม่ยอมปล่อยมือให้ท้องถิ่นทำ แต่คงไว้ให้กรมต่างๆ 6กรม ทำงานเก็บผักตบชวา เพราะมีงบต้องเก็บทุกปี
ด้านนายอาคม ชี้แจงว่า เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือ หนี้สาธารณะ ทั้งนี้ การจัดงบในวงเงินดังกล่าวเมื่อชะลดหรือปรับลด กมธ. เน้นการแก้ปัญหา พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
“เรื่องหนี้สาธารณะต้องปรับแผนการก่อหนี้ ในแผนที่ผ่านมา โครงการหรือแผนงานที่เสนอมีปัญหาความพร้อม หรือพร้อมแต่มีปัญหาการปฏิบัติ กระทรวงการคลังที่ผมให้นโยบาย คือ ทบทวนโครงการลงทุนต่างๆ ที่ขอใช้เงินกู้ ต้องเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล, ประเด็นของโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการที่เสนอต้องเข้มงวด ไม่ใช่แค่จองช่ือไว้ นอกจากนั้นโครงการที่บรรจุแต่ล่าช้า การเบิกจ่ายต้องพิจารณากู้เท่าที่จำเป็น” นายอาคม ชี้แจง
รมว.คลัง ชี้แจงด้วยว่า การกู้เงินที่ได้รับอนุมัติ ต้องทยอยและพิจารณาตลาดพันธบัตรสภาพคล่องภายในประเทศ เพื่อไม่ให้รัฐบาลแย่งเงินของเอกชน การกู้เงินต้องพิจารณาแหล่งเงินกู้ ที่ผ่านมา 98% กู้ภายในประเทศ หากต้องการให้เอกชนลงทุนอาจกระทบสภาพคล่องภายในประเทศ ทำให้ต้องพิจารณาใช้เงินกู้ต่างประเทศ กรณีการสั่งซื้ออุปกรณ์เงินตราต่างประเทศ ขณะนี้ดอกเบี้ยจ่ายของเรามีภาระต่ำให้มีขีดความสามารถกู้ได้
อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติ เสียงข้างมาก 224 เสียงเห็นด้วยกับการแก้ไขของ กมธ. ไม่เห็นด้วย 40 เสียง งดออกเสียง 38 เสียง