xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวจริง-ข่าวปลอม ป่วน “ลุงตู่” จนเดี้ยง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา

ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทย ประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ดังนี้ พบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้น 8,656 ราย แบ่งออกเป็นติดเชื้อใหม่ในประเทศ 8,583 ราย ติดเชื้อในเรือนจำ-ที่ต้องขัง 73 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 80 คน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในช่วงการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ตั้งแต่ 1 เมษายน - 12 กรกฎาคม 2564 มีจำนวน 316,164 ราย เสียชีวิตสะสม 2,697 คน

ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 336,368 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 2,791 คน ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ในอันดับที่ 61 ของโลก

พิจารณาตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตดังกล่าวล่าสุดข้างต้น แม้ว่าตัวเลขจะลดลงบ้าง แต่ก็ถือว่ายังสูงอยู่มาก และในวันที่ 12 กรกฎาคม ถือว่าเป็นวันแรกที่เริ่มบังคับใช้คำสั่งห้ามออกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) โดยไม่มีเหตุจำเป็น ตั้งแต่เวลา 21.00 น.ไปจนถึงเวลา 04.00 น. รวมไปถึงการขอความร่วมมือ ในการจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม เป็นต้นมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ยังมีการออกมาตรการควบคุมที่เข้มข้นกว่าเดิมในพื้นที่สีแดงเข้ม ที่ต้องควบคุมเข้มงวดสูงสุด เช่น ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้ง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่ในจังหวัดอื่นๆ ก็ต้องเพิ่มมาตรการคุมเข้มกันเป็นรายจังหวัด รายอำเภอ ซึ่งกำหนดเอาไว้ในเบื้องต้นจำนวน 14 วัน ที่เรียกว่า เป็น “ช่วงอันตรายสูงสุด” เพราะหากคุมไม่อยู่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุหลักหมื่นรับรองว่า “ยุ่งแน่” เพราะไม่ใช่เฉพาะระบบสาธารณสุขจะล่มสลายอย่างเดียว ยังมี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาลทั้งคณะของพวกเขา ก็น่าจะไปไม่รอดเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในระลอกใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก หลายประเทศกำลังประสบปัญหาการระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ “เดลตา” โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน ซึ่งประเทศไทยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เคยจ่อตัวเลขหลักหมื่นมาแล้ว และแม้ว่าล่าสุดตัวเลขจะลดลงมาบ้างเหลือหลักแปดพันกว่าคน แต่ก็ยังสูง และน่าเป็นห่วงเช่นเดิม รวมทั้งตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ใกล้แตะหลักร้อย

เอาเป็นว่า หากภายใน 14 วันนับจากนี้ ทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไม่ลดลงในระดับที่ควบคุมได้ เชื่อว่า อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาก็ได้

แต่ขณะเดียวกัน ยังมีปรากฏการณ์ที่ “ผิดธรรมชาติ” ในลักษณะ “จงใจ” ให้เกิดขึ้น โดยมีจุดประสงค์บางอย่างที่ต้องการให้เป็น เช่น การปล่อย “ข่าวปลอม” ข่าวเท็จ ข่าวบิดเบือน ที่หากสังเกตจะเห็นว่าในช่วงหลังมีการ “ปล่อยข่าว” ในลักษณะแบบนี้มากขึ้นอย่างผิดสังเกต โดยเฉพาะการใช้โซเชียลฯโจมตี รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ หรือให้ข่าวเท็จ หรือบิดเบือน ในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกวัน


แน่นอนว่า หากพิจาณากันอีกมุมหนึ่งประสิทธิภาพของ “ข่าวปลอม” เพื่อนำมาปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง และมีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ส่วนสำคัญย่อมมีสาเหตุมาจากความ “ผิดพลาด” และความไร้ประสิทธิภาพของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการบริหารสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย

ในสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงมากขึ้น แม้ว่าจะมีการระบาดในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งจะว่าไปแล้วประเทศไทยยังทำได้ดีกว่าหลายประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกัน แต่อาจเป็นเพราะเราปล่อยให้มีข่าวเท็จ ข่าวปั่น เกิดขึ้นจำนวนมาก จนสร้างความสับสนวุ่นวาย และเร่งทำลาย “เครดิต” ของผู้นำรัฐบาล และบุคลากรทางการแพทย์บางคนที่กำลังทำงานด้วยความเสียสละ

มีการให้ข้อมูลที่บิดเบือน “ด้อยค่าวัคซีน” สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นกับประชาชนจนบางครั้งทำให้ประชาชนเกิดกระแสตื่น ไม่กล้ารับการฉีดวัคซีนบางยี่ห้อ ทั้งที่ในทางการแพทย์ยืนยันชัดเจนว่าการได้รับวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก สามารถป้องกันอาการป่วยหนัก และลดอัตราการเสียชีวิตได้ 80-90 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า การชี้แจงของรัฐบาลในระยะหลัง “ตามไม่ทัน” กับข่าวเท็จพวกนี้ ที่สำคัญ “ขาดความเด็ดขาด” ในการเอาผิดกับคนที่ “จงใจ” ปล่อยข่าว และ “จงใจแชร์ข่าว” พวกนี้ออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย้ำว่าจะ “จัดการขั้นเด็ดขาด” กับคนปล่อยข่าวประเภทนี้ แต่ในระยะหลังกลับไม่ค่อยจริงจัง รวมไปถึงการเอาผิดกับพวกฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างยิ่งบานปลาย

ที่น่าจับตาก็คือ เมื่อมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นออกมา แต่ตราบใดที่ยังไม่เอาจริงเอาจัง ทั้งการเอาผิดผู้ผ่าฝืน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ละเลย ทุกอย่างก็จะเข้ารูปเดิมอีก นั่นคือ ความล้มเหลว

แต่คราวนี้คนที่จะ “โดน” น่าจะต้องเป็น “บิ๊กตู่” หรือ “ลุงตู่” นั่นแหละ หากไม่เด็ดขาดในสิ่งที่สมควรเด็ดขาด เชื่อว่าภายใน 14 วัน หากยังเอาไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น