“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 ตอน ปลัด มท.เอื้อไทยเบฟ เกมเตะสกัดฉีดวัคซีน
เป้าหมายของรัฐบาล จะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศออกสื่อเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ภายใต้เงื่อนไข ประชาชนคนไทยต้องได้ฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เท่ากับจำนวน ประมาณ 50 ล้านคน นับเป็นเป้าหมายที่คนไทยส่วนใหญ่ให้พ้องด้วย
หลังจากนี้ ชะตากรรมประเทศ และความปกติสุขของประชาชนจะกลับคืนมาได้ ก็อาศัยวัคซีนที่ถือว่าเป็นยาขนานเดียวที่จะกำจัดความทุกข์ระทมให้หมดไปได้ การวางเป้าเปิดประเทศไทย ภายในสี่เดือนหลังนี้ จึงเป็นวันเวลาแห่งการรอคอย คนไทยต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อไปฉลองชัยกันในวันนั้น
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากประกาศ 120 วันเปิดประเทศ เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจากนี้ไปคือเวลานับถอยหลัง แต่จะต้องผ่านการฉีดวัคซีนให้คนทั่วประเทศได้ครบถ้วนตามจำนวนที่กำหนด ถ้าหากทำไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องเก็บของออกจากทำเนียบ
สถานการณ์ต่อไปจึงอยู่บนความแหลมคมอย่างมาก ฝ่ายที่จ้องจะล้ม พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล จะจ้องเอาการฉีดวัคซีนเป็นประเด็น ถ้าสามารถขัดขวางไม่ให้วาระวัคซีนแห่งชาติบรรลุเป้าหมายได้ นั่นก็หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลว และจะอยู่ต่อไม่ได้
ขบวนการเจาะยาง เตะสกัดรัฐบาล เริ่มเปิดฉากรอบใหม่ ด้วยการปล่อยข่าวบิดเบือนออกมาทำลายการทำงานของรัฐบาลแล้ว กับการสร้างข่าว และเผยแพร่หนังสือลงนาม โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
สั่งการให้ สนับสนุนวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับพนักงานและครอบครัวมากกว่า 7 หมื่นคนใน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ไทยเบฟ) หรือที่รู้จักกันในนามเครือบริษัท “เบียร์ช้าง”
เมื่อมีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง “ไทยเบฟฯ” หรือ “เบียร์ช้าง” เข้ามาเกี่ยวข้อง “กระทรวงมหาดไทย” ก็หนีไม่พ้นถูกประเคนข้อหา “เอื้อประโยชน์-เลือกปฏิบัติ” ในทันที
บวกกับเสียงขานรับจากฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และสื่อในเครือข่าย ที่ร่วมกันปั่นกระแสนำเฉพาะ “เนื้อหาในหนังสือ” มาประโคมข่าวขยายประเด็นว่าเป็นเรื่องของ “อภิสิทธิ์ชน” จนทั้ง “ปลัดฉิ่ง” และ “ไทยเบฟฯ” โดน “ทัวร์ลง” อย่างหนัก
แม้ว่า “ปลัดฉัตรชัย” และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงมหาดไทย หรือ ศบค.มท. จะออกมาชี้แจงว่า เป็นการดำเนินการเป็นไปตามแนวทางของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในเรื่องการจัดหาวัคซีนปูพรมทั่วประเทศ ที่ถูกวางไว้เป็น “วาระแห่งชาติ” ในการจัดหา และกระจายการฉีดวัคซีนให้ทุกคนในประเทศอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรทั้งประเทศ
พร้อมทั้งได้อธิบายว่า ไม่ได้เป็นการ “เลือกปฏิบัติ” อย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมา มีองค์กรและหน่วยงานทั้งส่วนราชการ, เอกชน, สมาคม รวมถึง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ที่เกิดการระบาด
ได้ทำหนังสือผ่าน สำนักเลขาธิการ ศบค., คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด, กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ขอให้จัดหาวัคซีนไปฉีดให้บุคลากรเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว
การที่เอกชนประสานขอวัคซีนฉีดให้พนักงานในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเอกชนขนาดใหญ่หรือเล็ก สามารถขอได้ เพราะเป็นสิทธิ์ที่ให้ไว้ตามระเบียบของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ในฐานะ “เจ้าภาพ” ในการกระจายวัคซีนให้แก่หน่วยงานต่าง
ที่ระบุในหนังสือที่ สธ. 0410.7/2099 เรื่อง "ขอแจ้งแนวทางให้บริการวัคซีนโควิด 19 แบบปูพรมทั่วประเทศ" โดยได้แนบ “ไกด์ไลน์” หรือแนวทางการบริการ โดยมีเนื้อความในข้อ 5.2 เกี่ยวกับการนัดหมายผ่านองค์กร ระบุว่า องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย
ที่มีความประสงค์จะขอรับวัคซีนให้กับบุคลากรสามารถแจ้งความประสงค์ไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
และข้อ 5.2.3 กรณีองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัด สามารถแจ้งหนังสือมายังอธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อขอรับวัคซีนไปฉีดให้บุคลากรในสังกัด โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง
ดังนั้น เรื่องไทยเบฟขอวัคซีนฉีดให้พนักงานของบริษัท จึงเป็นสิทธิ์ที่อันชอบด้วยระเบียบข้อกำหนดของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และฝ่ายผู้อนุมัติ ก็มีหลักการตามระเบียบที่จะต้องพิจารณาคำขอ และอนุมัติไปตามระเบียบ ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ปลัดฉัตรชัย ก็เซ็นสั่งการไปตามมติของคณะกรรมการ ที่ลงมติอนุมัติ
จะเห็นว่า แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้มีลับลมคมในอะไรเลย และไม่ใช่การใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ไทยเบฟ แม้แต่น้อย แต่เมื่อเจอข่าวโจมตีปล่อยมาเช่น ก็ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยไปในทันที ซึ่งมหาดไทยเป็นกลไกสำคัญในการทำงานป้องกันและควบคุมการระบาดโควิด-19
ผลงานของมหาดไทยในวิกฤตโควิด-19 ก็พิสูจน์แล้วว่า เป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” สำคัญในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาด เห็นได้ชัดจากกรณี จ.สมุทรสาคร ในการระบาด “ระลอก 2” ปลายปี 2563 ที่เกิดคลัวเตอร์ตลาดกลางกุ้ง ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร ที่สถานการณ์คลี่คลายได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยมี “ผู้ว่าฯปู” นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็น “แม่ทัพ” จนตัวเองติดเชื้อป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด เช่นเดียวกับอีกหลายจังหวัดที่ “พ่อเมือง” ถือเป็น “คีย์แมน” ในการแก้ไขสถานการณ์
สำหรับข้อหา “เอื้อประโยชน์” ให้กับให้เจ้าสัวเบียร์ช้าง ทั้งเป็นข้อโจมตีที่รุนแรง และไม่น่าเชื่อ ถ้าดูตาม
ที่ “ไทยเบฟฯ” ทำหนังสือมาที่กระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 8 มิ.ย. กว่า “ปลัดฉัตรชัย” ในฐานะผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจะ “แทงเรื่อง” ต่อก็ปาเข้าไปวันที่ 17 มิ.ย. หรือ 10 วันซึ่งพิจารณาได้ว่า หาก “เอื้อประโยชน์” หรือมี “เส้นใหญ่” จริง เชื่อว่าต้องแทงเรื่องรวดเร็วทันใจกว่านี้แน่
กรณี “ไทยเบฟฯ” เป็นเกมการเมือง ที่บิดเบือนความจริง โจมตีคนทำงาน อย่างน่าเห็นใจที่ปลัดฉัตรชัยต้องถอนคำสั่งการไปแล้ว ทั้งที่ไม่มีอะไรผิด คงจะคิดแล้วว่า สู้กับโรคระบาดโควิด-19 มันหนักหนาสาหัสมาก ยังจะต้องมาค่อยแก้ข่าวเท็จ มันก็ไม่ไหวเคลียร์ จบแบบเจ็บคนเดียวดีกว่า