“แรมโบ้” มั่นใจออกประกาศยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ติดเชื้อลดลง ขอประชาชนเข้าใจนายกฯ ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเต็มที่ สุดความสามารถ ย้ำถึงไม่ใช้คำ “ล็อกดาวน์” ก็ต้องเยียวยาประชาชน
วันนี้ (10 ก.ค.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ ศบค.ออกประกาศยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมั่นใจว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่มียอดตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นนั้น การที่ยกระดับมาตรการควบคุมที่เข้มข้น จะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้ เพราะจากที่เคยดำเนินการมาแล้วก่อนหน้านี้ยังสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อลดลงได้
ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการให้เลี่ยงใช้คำว่าล็อกดาวน์ เนื่องจากเพราะไม่อยากจ่ายค่าเยียวยาประชาชนนั้น นายเสกสกลยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะแม้จะใช้หรือไม่ใช้คำว่าล็อกดาวน์ นายกฯ รัฐบาล ก็ต้องเยียวยา มีมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว เพราะนายกฯ ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ ปากท้องของประชาชนเป็นอย่างมาก
ส่วนการดูแลแรงงานในแคมป์คนงานที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ในกิจการก่อสร้าง และอีกหลายกิจกรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแล้ว พร้อมกับย้ำถึงความจำเป็นที่นายกฯ จะต้องออกประกาศปิดแคมป์คนงาน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีการติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ซึ่งภายหลังมีการประกาศนายกฯ ได้สั่งการจัดกำลังเร่งด่วนเข้าไปควบคุมจำกัดพื้นที่เพื่อไม่ให้แรงงานออกนอกพื้นที่ และให้เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก นำเข้าสู่ระบบการรักษาควบคุมโรคโดยเร็ว สำหรับแรงงานที่เดินทางกลับภูมิลำเนา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงไปแล้วว่าเป็นจำนวนน้อย
นายเสกสกล ยังกล่าวถึงการที่ประชาชนต่อแถวตรวจหาเชื้อโควิดจำนวนมากนั้น ยอมรับว่า ประชาชนอาจไม่ได้รับความสะดวกสบาย แต่ ศบค.ได้ยืนยันที่จะเร่งเปิดจุดตรวจหาเชื้อให้มากขึ้น และทางกระทรวงสาธารณสุขยังได้มีมติให้มีการกำหนดแนวทางการใช้การตรวจหาแอนติเจนโดยใช้ชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test ใช้โดยสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนที่ผ่านการรับรองทางห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจ SARS-CoV-2 โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อแก้ปัญหาประชาชน เข้าไม่ถึงบริการตรวจโควิดที่มีคนรอคิวจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มขีดความสามารถการรักษาผู้ป่วยโควิดด้วยการจัดตั้ง รพ.สนาม ไอซียูสนาม การแยกกักในชุมชนและการแยกกักที่บ้าน รวมถึงสาธารณสุขยังได้ปรับแผนการกระจายวัคซีน โดยจะเร่งฉีดผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า 60 ปี และกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ตั้งเป้าหมายฉีดให้ได้ 1 ล้านโดส ภายใน 2 สัปดาห์ จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังไม่หยุดนิ่งที่จะจัดหาวัคซีนที่ประชาชนมีความต้องการเข้ามาฉีดให้กับประชาชน
“แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนไม่สบายใจในหลายเรื่อง แต่ยืนยันว่า นายกฯ จะทำทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นให้ได้ ทั้งการดูแลด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ การเยียวยาต่างๆ และการบริหารจัดการวัคซีนให้ประชาชนทุกคน รวมถึงการจัดหาวัคซีนทางเลือกเข้ามา โดยขอให้ประชาชนได้เข้าใจในตัวนายกฯในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่จะทำอย่างเต็มที่ และสุดความสามารถ”
“นายกฯ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคนได้ช่วยกันรักษาตนเองให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิดตามมาตรการที่ ศบค.และสาธารณสุขกำหนด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทุกคน อย่าไปเชื่อเฟกนิวส์ ข่าวบิดเบือนข่าวปลอม หรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่คอยจ้องเล่นการเมือง โจมตีทำลายความเชื่อถือต่อรัฐบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง ขอให้คนไทยทุกคนอดทนเพื่อก้าวข้ามวิกฤตโควิดครั้งนี้เพื่อให้คนไทยชนะผ่านความทุกข์ยากไปด้วยกันให้ได้” นายเสกสกล กล่าว