ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โควิดวนลูปกลับมา “ล็อกดาวน์” เหมือนเดิม เพิ่มเติม คือกระแส “ไม่เชื่อลุง” ล้นหลามลามไปทั่วหัวระแหง
กู่ไม่กลับเป็นเรื่องน่าเศร้าของประเทศ กับสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด เมื่อวาน (8 ก.ค.) สูงถึง 7,058 คน เสียชีวิตถึง 75 ราย ซึ่งก็มาพร้อมๆ กับข่าวว่าการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน ศบค.โดย “ซิงเกิลคอมมานด์” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนวันนี้ (9 ก.ค.) ที่คาดกันว่า จะออกมาตรการเข้มข้นชนิดที่ว่ากันว่า จะไม่ต่างจาก “ล็อกดาวน์” และเข้มข้นไม่น้อยไปกว่าช่วงสงกรานต์ ปี 63 โดยพื้นที่แพร่ระบาดหนักอย่าง กทม. ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเป้าหมายหลัก
พลันที่ข่าวแพร่สะพัด จับอารมณ์การรับรู้สังคมก็ปรากฏ แฮชแท็ก #ประยุทธ์ออกไป และ #ล็อกดาวน์ พุ่งขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ทันที
ชาวโซเชียลฯ ต่างส่งเสียงวิจารณ์ต่อ “ลุงตู่” และ มาตรการที่จะประกาศออกมาอย่างชนิดไม่มีความเชื่อถือหลงเหลือ ส่วนใหญ่มองว่า เรามาถึงจุดนี้ เพราะการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของ พล.องประยุทธ์ ทั้งเรื่องการจัดการวัคซีน และการควบคุมการแพร่ระบาด เยียวยาธุรกิจ และประชาชนในช่วงสถานการณ์โควิด ที่วิกฤตหนักที่สุดขณะนี้ และยังมองไม่เห็นอนาคต
เรียกว่า โควิดวนลูป กลับมาที่เดิมคือ วิกฤตหนักต้อง “ล็อกดาวน์” กันอีกคราว แต่ที่เพิ่มเติมคือคนในสังคมทุกแขนง ทุกสาขาอาชีพต่างแสดงออกมาจากความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจมากเป็นประวัติการณ์ ต่างก็ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล
ดังที่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐ ขยับทำโพลชาวเน็ตกว่าแสนคน ในหัวข้อ “คุณ (ยัง) เชื่อมั่นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่?” ปรากฏว่า โหวต 87.3% ไม่เคยเชื่อมั่นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ... เชื่อมั่น แค่ 1.8%
หรือ ยกตัวอย่างโพสต์ของพิธีกร-นักแสดงชื่อดัง “เจนนี่ ปาหนัน” หรือ “วัชระ สุขชุม” ได้โพสต์ว่า “เห็นยอดผู้ติดเชื้อกับเสียชีวิตวันนี้แล้ว ขอร้องล่ะ ชีวิตประชาชนต้องมาขึ้นอยู่กับนักการเมืองที่เดินหนีสื่อบ้าง พูดไม่ตรงกันบ้าง โมโหใส่บ้าง พูดจาติดตลกบ้าง ที่สำคัญคือ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะ ถ้าจัดการอะไรไม่ได้เลยก็ควรพิจารณาตัวเอง ลาออกไปเถอะค่ะ ยกชุดเลยค่ะ!” และ “ออกไปทั้งรัฐบาลเลย ออกไป๊ !!!!!”
เห็นว่าโพสต์นี้ไปโดนใจชาวเน็ตจำนวนมาก กลายเป็นไวรัลที่มีคนมาแสดงความเห็นด้วยล้นหลาม
บ้างก็ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ตัดสินใจผิดพลาดมาตลอด “ซิงเกิลคอมมานด์” ที่ตัดสินใจเอง แก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ขาดความรู้ความเข้าใจ ยิ่งแก้ยิ่ง เหมือนลิงแก้แห ยิ่งติดขัดนุงนัง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha เผยให้เห็นภาพนั่งใส่สูททำงาน WFH ด้านหลังมีภาพปิดทองหลังพระ ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีความรุนแรงมากขึ้น การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดที่แพร่ระบาดได้ง่ายยิ่งขึ้น มาตรการทุกอย่างที่รัฐบาลจะออกมา จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และธุรกิจต่างๆ ส่วนตัวได้ติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่องด้วยความไม่สบายใจ และรับรายงานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการใช้แผนเผชิญเหตุ เพื่อกำหนดมาตรการการควบคุมโรคที่จะต้องเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่ดำเนินการ อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความรุนแรงมากกว่านี้
งานนี้ก็ต้องติดตามกันว่า วันนี้ประชุม ศบค. “ซิงเกิลคอมมานด์” จะออกฤทธิ์มาแบบไหน แต่ที่ไม่ต้องติดตามเลย คือวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้คนมากกว่าค่อนประเทศ รวมใจเป็นหนึ่งเดียว “ไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อมือ” รัฐบาลบริหารจัดการโควิดแล้ว
ไม่เชื่อก็ให้ทีมงาน เสธ.หนุ่มๆ ที่รุมล้อมลุงที่ขยันเช็กโซเชียลฯ ส่งให้นายกฯ เช็กเรตติ้งจากแฮชแท็ก ชาวเน็ตกันได้เลย.
** เก็บฉาก “ไทยไม่ทน” จตุพร กลับเข้าคุกต่อ หลังศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้นับโทษต่อ จากคดีกล่าวหา “อภิสิทธิ์” มือเปื้อนเลือดสั่งฆ่าประชาชน
หลังจาก “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. เข้ามารับบทแกนนำคณะ “ไทยไม่ทน” ไล่รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก เพิ่งมีการเคลื่อนไหวใหญ่ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีกำหนดการเคลื่อนไหวอีกครั้งร่วมกับกลุ่มของ “สมบัติ บุญงามอนงค์” ในวันเสาร์ที่10 ก.ค.ที่จะถึงนี้
แต่แล้ว “จตุพร” ก็ต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้งเมื่อศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้นับโทษต่อจากคดีหมิ่นประมาท “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า สั่งฆ่าประชาชน
คดีหมิ่นประมาท ที่ “อภิสิทธิ์” ฟ้อง “จตุพร” นั้น มีหลายคดี แต่ที่เป็นปัญหาเรื่องการนับโทษต่อหรือไม่นั้น เกี่ยวเนื่องกับ 2 คดี คือกรณีหมิ่นประมาท กล่าวหา “อภิสิทธิ์” เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน กับ คดีกล่าวหา “อภิสิทธิ์” ประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ “ทักษิณ ชินวัตร”
คดี “มือเปื้อนเลือด” นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก “จตุพร” 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ระหว่างที่ถูกจำคุกนั้น “จตุพร” ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ศาลตัดสินคดีประวิงเวลาขอพระราชทานอภัยโทษให้ “ทักษิณ” ให้จำคุก “จตุพร” 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษคดีจำคุกต่อ
“จตุพร” จึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ศาลชั้นต้นและศาลฎีกา ไม่มีอำนาจพิพากษาให้นับโทษจำคุกต่อ จึงขอให้ศาลแก้ไข โดยยกเลิกหมายจำคุกถึงที่สุดฉบับเก่า (ที่ให้มีการนับโทษต่อ) และให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่
ศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วก็มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจตุพร เพราะว่า การจะยกเลิกคำพิพากษาเดิมที่ให้นับโทษต่อไม่ได้ และศาลฎีกา ก็มีคำพิพากษาถึงที่สุด และมีการออกหมายตามคำพิพากษาแล้ว
“จตุพร” จึงยื่นอุทธรณ์ต่อ คราวนี้คำตัดสินเป็นคุณต่อจตุพร เมื่อศาลชั้นต้นตรวจสอบรายงานกระบวนพิจารณาใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าในคดีหมิ่นประมาทนั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้ให้นับโทษจำคุก แต่ศาลอุทธรณ์ มีการย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้นับโทษจำเลยต่อ ซึ่งไม่ถูกต้อง จนเมื่อผลคดีถึงที่สุดก็เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกถึงที่สุดโดยผิดหลงด้วยการให้นับโทษต่อ ... ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่ โดยไม่ต้องนับโทษต่อจากคดีหมิ่นประมาทอีกสำนวน
เมื่อผลออกมาอย่างนี้ “อภิสิทธิ์” ไม่เห็นด้วย จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้หมายเรียกจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ต้องนับโทษคดีอาญาต่อ... ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของ “อภิสิทธิ์” แล้วให้ยกคำร้อง “อภิสิทธิ์” จึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ... คราวนี้ ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วมีคำสั่งให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษจำคุกต่อ แล้วให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่ เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ลงโทษจำคุกจตุพร
“จตุพร” จึงยื่นฎีกาคัดค้านอีกครั้ง ซึ่งศาลฎีกา เพิ่งตัดสินไปเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) ว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นับโทษต่อนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของ “จตุพร” ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน...ผลคือ “จตุพร” ต้องถูกจำคุกต่อ
ตามคดีใหม่ที่ “จตุพร” ถูกตัดสินจำคุก 12 เดือน ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับคดีเก่านั้น เขาได้ถูกจำคุกในคดีใหม่นี้มาแล้ว 14 วัน จึงต้องนำมาหักจากโทษจำคุก 12 เดือน จึงเป็นอันว่า “จตุพร” ต้องถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ไปรับโทษจำคุกอีก 11 เดือน 16 วัน
หลังจากนี้ “ไทยไม่ทน” ที่กำลังเดินเครื่องขับไล่นายกฯ จึงขาดแกนนำคนสำคัญไป 1 คน