xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ประธาน นปช.ลุ้นฎีกานับโทษใหม่ คดีหมิ่น “อภิสิทธิ์” โดนขังคุกต่อหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“จตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน นปช.ลุ้นฎีกานับโทษใหม่ คดีหมิ่นประมาท “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯ ที่จำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ต่อจากคดีกล่าวหาสั่งฆ่าประชาชน เจ้าตัวไม่หวั่นติดคุก แต่พร้อมสู้เพื่อความยุติธรรม

วันนี้ (8 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งฎีกา ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 ขอให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด ซึ่งออกโดยศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 ในคดีที่นายอภิสิทธิ์เป็นโจทก์ ในคดีหมายเลขดำ อ.4176/2552 ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ในความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560 ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ให้จำคุกนายจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษคดีจำคุกนายจตุพรต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552 กรณีกล่าวหาเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน

โดยคำร้องอุทธรณ์ของนายอภิสิทธิ์ดังกล่าวระบุว่า เมื่อคดีหมิ่นประมาท หมายเลขดำ อ.4176/2552 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนายจตุพร 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษคดีจำคุกนายจตุพร ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552 แล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดให้นับโทษนายจตุพรต่อ แต่จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าศาลชั้นต้นและศาลฎีกา ไม่มีอำนาจพิพากษาให้นับโทษจำคุกนายจตุพรต่อจากอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552 จำเลยจึงขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษายกเลิกหมายจำคุกถึงที่สุดฉบับเก่า (ที่ให้มีการนับโทษต่อ) และให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วก็มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย เพราะว่ายกเลิกคำพิพากษาเดิมที่ให้นับโทษต่อไม่ได้ โดยศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาถึงที่สุด และมีการออกหมายตามคำพิพากษาแล้ว

จำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวอีก โดยศาลชั้นต้นก็ได้เรียกตัวจำเลยมาสอบถาม ซึ่งแถลงว่าหมายที่ให้นับโทษจำคุกคดีนี้ต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวนนั้นไม่ถูกต้อง ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นตรวจสอบรายงานกระบวนพิจารณาใหม่อีกครั้งปรากฏว่าในคดีหมิ่นประมาทนั้น ศาลชั้นต้นไม่ได้ให้นับโทษจำคุก แต่ศาลอุทธรณ์มีการย่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าให้นับโทษจำเลยต่อ ซึ่งไม่ถูกต้อง จนเมื่อผลคดีถึงที่สุด ก็เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกถึงที่สุดโดยผิดหลงด้วยการให้นับโทษต่อ ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นธรรมกับตัวจำเลย โดยให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 ไม่ต้องนับโทษนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวน ซึ่งระบุวันนับโทษตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2560 โดยไม่หักวันต้องขังให้จำเลย

ทั้งนี้ โจทก์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลย ต่อจากคดีอาญาหมิ่นประมาทอีกสำนวนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้หมายเรียกจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ต้องนับโทษคดีอาญาต่อ ขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของนายอภิสิทธิ์แล้ว ให้ยกคำร้อง โจทก์จึงได้ยื่นอุทธรณ์

โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2562 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้การออกหมายจำคุกถึงที่สุดจะเป็นเรื่องการบังคับโทษตามคำพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจดำเนินการก็ตาม แต่การออกหมายบังคับตามโทษนั้นจะต้องให้ถูกต้องกับโทษที่จำเลยควรได้รับตามความเป็นจริงด้วย ซึ่งการที่ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560 ให้นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขดำ อ.1962/2552 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นการออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการที่ศาลชั้นต้นได้ยกเลิกหมายจำคุกดังกล่าวแล้วออกหมายบังคับโทษใหม่ เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 โดยอ้างว่าหมายจำคุกเดิมที่ศาลชั้นต้นออกนั้นทำโดยผิดหลง เนื่องจากศาลชั้นต้นที่เคยมีคำพิพากษาคดีนั้น ไม่ได้ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญา หมายเลขดำ อ.1962/2552 แต่ศาลอุทธรณ์ย่อคำพิพากษาว่า ศาลชั้นต้นให้นับโทษคดีต่อกันกับอีกสำนวนหนึ่งนั้น ความจริงศาลชั้นต้น (คดีหมายเลขดำ อ.4176/2552) พิพากษาให้นับโทษจำคุกนายจตุพร จำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552 ตรงตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาย่ออยู่แล้วไม่ได้เป็นข้อผิดพลาด ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นเคยยกเลิกหมายจำคุกถึงที่สุดฉบับเก่านั้น น่าจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนผิดหลงของศาลชั้นต้นเอง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษา ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552 และให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลย ลงวันที่ 19 ก.พ. 2561 กับให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป (ที่ให้นับโทษจำคุกนายจตุพร คดีหมิ่นประมาทหมายเลขดำ อ.4176/2552 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อ.1962/2552)

โดยภายหลังฟังศาลอุทธรณ์ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายจตุพรระหว่างจะฎีกา โดยมีประกัน 2 เเสนบาท ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ
วันนี้ นายจตุพร จำเลยเดินทางมาฟังคำสั่งศาลฎีกา พร้อมด้วยกลุ่มผู้สนับสนุนมาให้กำลังใจ

นายจตุพร กล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่า เดินทางมาฟังคำสั่งให้นับโทษจำคุกใหม่ ซึ่งไม่ใช่คำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว โดยคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ คดีแรกศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุก 1 ปี ต่อมาคดีที่สอง ศาลฎีกาพิพากษาสั่งให้ลดโทษจาก 2 ปี เหลือ 12 เดือน ที่เหลือให้เป็นไปตามศาลอุทธรณ์ หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดจากศาลอาญาได้สั่งให้นับโทษต่อ แต่ตนได้ศึกษาเรื่องข้อกฎหมายเห็นว่า ศาลฎีกาไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อ จึงยื่นเรื่องให้มีการนับโทษใหม่ ศาลอาญายกคำร้องให้เหตุผลว่า เนื่องจากศาลฎีกาพิพากษาได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ตนได้อุทธรณ์คำสั่งอีกครั้งว่าเป็นการนับโทษผิดหลง ศาลอุทธรณ์จึงสั่งให้นับโทษตั้งแต่วันพิพากษาพร้อมไปกับคดีแรก ตนจึงถูกจำคุกเกินไป 15 วัน รวมติดคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 1 ปี 15 วัน

การต่อสู้เรื่องการนับโทษนั้น หลังจากคำพิพากษาแล้ว จะเป็นเรื่องระหว่าง จำเลย ศาล และกรมราชทัณฑ์เท่านั้น ถ้าโจทก์จะมีคำเป็นแย้งก็ต้องโต้แย้งมาตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งโจทก์ไม่ได้แย้ง ต่อมาเมื่อตนได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561 ปรากฏว่า หลังออกมาจากคุกได้ 3 วัน ฝ่ายโจทก์ได้ร้องให้นับโทษใหม่ อ้างว่าตนยังถูกคุมขังไม่ครบ ศาลอาญายกคำร้อง เพราะเป็นเรื่องที่พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์ ปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้นับโทษใหม่ สุดท้ายตนได้ยื่นประกันตัวด้วยวงเงินจำนวน 2 แสนบาท ในวันนี้จึงเป็นการฟังคำสั่งการนับโทษของศาลฎีกา

ที่ผ่านมา ตัวเองติดคุกมาแล้ว 4 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์คุกคนหนึ่ง รู้แล้วว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร ในส่วนของคณะไทยไม่ทน ต่อให้ไม่มีตัวเองก็จะต้องเดินหน้าต่อ เบื้องต้นจากการที่พูดคุยการชุมนุมในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ จะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่มีการตั้งเวทีปราศรัย แต่จะยกขบวนไปสมทบกันว่า ในหลายเรื่องที่ได้ค้างคา ตัวเองได้เตรียมพร้อมและทำสำเร็จหมดแล้ว ทั้งการเดินทางไปฉีดวัคซีน ทำฟัน เพื่อเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขอให้คนในประเทศ มีความรักและความศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น