“รสนา” เผยโดนเฟซบุ๊กบล็อกการโพสต์ข้อความ 3 วัน เหตุประกาศแจกหนังสือ “ฟ้าทะลายโจร : ฟ้าทะลายโควิด” ถามมาตรฐานชุมชนของโซเชียลมีเดียชื่อดังคืออะไรกันแน่ คือ การล่าอาณานิคมแบบใหม่ ไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาพึ่งตัวเองได้ ใช่หรือไม่
วันนี้ (7 ก.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตนเองถูกเฟซบุ๊กบล็อกการโพสต์ข้อความเป็นเวลา 3 วัน เป็นเพราะประกาศแจกหนังสือ “ฟ้าทะลายโจร : ฟ้าทะลายโควิด” โดยรู้ว่าถูกเฟซบุ๊กบล็อกตอนดึกมากของเมื่อคืนวันที่ 6 ก.ค หรือเข้าเช้าวันใหม่ของวันที่ 7 ก.ค. 2564 (เวลา 0.51 น.) ตอนที่กำลังจะโพสต์ “ข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน พระราชทานฟ้าทะลายโจรให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไว้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19” ซึ่งเป็นสัญญะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
“FB อ้างว่าดิฉันถูกบล็อกเพราะบทความที่โพสต์เมื่อ 3 วันก่อน นับตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค เพราะได้โพสต์บทความ “แจกฟรี! หนังสือ “ฟ้าทะลายโจร : ฟ้าทะลายโควิด” ติดอาวุธความรู้ สู้โควิด” แต่ปรากฏว่า ตอนบ่าย 2 (14.00 น.) ของเมื่อวานนี้ (6 ก.ค. 2564) ดิฉันยังสามารถโพสต์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวน้องพอส ฮีโร่นักผจญเพลิงที่เสียสละทำงานอาสาสมัครจนเสียชีวิตในการดับเพลิงที่โรงงานโฟมในซอยกิ่งแก้ว สมุทรปราการ แต่พอจะโพสต์เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานฟ้าทะลายโจรให้คนกรุงเทพฯใช้ดูแลรักษาโควิด-19 เฟซบุ๊กก็บล็อกไม่ให้โพสต์ และแจ้งว่าดิฉันว่าไม่สามารถโพสต์หรือแสดงความเห็นเป็นเวลา 3 วัน เพราะเหตุผล “โพสต์ของคุณไม่เป็นไปตามมาตรฐานชุมชนของเรา”
“เฟซบุ๊กอ้างว่า มีอย่างน้อย 3 บทความ ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานชุมชนของเขา คือ
1) บทความ “แจกฟรี! หนังสือ “ฟ้าทะลายโจร : ฟ้าทะลายโควิด” ติดอาวุธความรู้ สู้โควิด” (วันที่ 3 กรกฎาคม 2564)
2) บทความ เสนอให้ “รัฐบาลใช้ฟ้าทะลายโจร สรุปบทเรียนจากการลดลงของผู้ติดเชื้อโควิดในเรือนจำ” (29 มิถุนายน 2564)
3) บทความ “อะเมซิ่งไทยแลนด์! ค้นพบฟ้าทะลายโจร สมุนไพรตัวแรกในโลกที่ฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้” (26 มกราคม 2564)
“การที่เฟซบุ๊กเที่ยวปิดกั้นการโพสต์แสดงข้อมูล การค้นพบ และการทดลองเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรเพื่อเป็นทางออกของคนไทยใช้รักษาตัวเองเมื่อมีการติดเชื้อโควิด-19 เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ มาตรฐานชุมชนของเฟซบุ๊กคืออะไรกันแน่!?
“ในเมื่อประเทศไทยยังไม่สามารถนำเข้าวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอมาฉีดให้ประชาชนไทยถึง 70% จนสามารถเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างที่บรรดาประเทศโลกบาลทั้งหลายได้ประชาสัมพันธ์อ้างเอาไว้ และบรรดาประเทศโลกบาลก็ยังผูกขาดการซื้อ การกักตุนวัคซีนเอาไว้ใช้เองมากจนใช้ไม่ทัน พอใกล้หมดอายุก็เอามาระดมแจกให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
“ในขณะเดียวกัน องค์กรโลกบาลอย่าง WHO ก็ขัดขวางประเทศเล็กๆ ที่พยายามหาทางรอดนอกเหนือจากวัคซีน อย่างประเทศมาดากัสการ์ ประธานาธิบดีของมาดากัสการ์ใช้สมุนไพรโกฐจุฬาลัมพามาทำเป็นเครื่องดื่มให้ประชาชนได้ป้องกันตัวเองจากโรคโควิด-19 เพราะประเทศจนๆ ไม่สามารถแย่งชิงซื้อวัคซีนในช่วงที่วัคซีนยังเป็นตลาดของผู้ขาย ถึงพอจะมีเงินซื้อได้ ก็ไม่ใช่จะซื้อได้อย่างง่ายดาย ถ้าประเทศนั้นไม่ใช่ขาใหญ่พอ ก็จะถูกปฏิบัติด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม อย่างที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่
“ดิฉันเขียนบทความต่อเนื่องเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรตั้งแต่มกราคม 2564 และก็เคยถูกเฟซบุ๊กลบบทความไปครั้งหนึ่ง โดยที่ตอนนั้นดิฉันไม่ทราบว่าถูกลบ เพราะเขียนเรื่องฟ้าทะลายโจรกับโควิด-19 นึกว่าระบบผิดพลาด ก็เลยเอาบทความมาลงใหม่ ซึ่งเพิ่งรับรู้ว่าบทความ “อะเมซิ่งไทยแลนด์! ค้นพบฟ้าทะลายโจร สมุนไพรตัวแรกในโลกที่ฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้” เป็นบทความที่เคยถูกลบ และเฟซบุ๊กนำมาเป็นเหตุผลที่ดิฉันทำผิดมาตรฐานของชุมชนของเขาหลายครั้งจนถูกห้ามโพสต์และเขียนความเห็นใดๆ เป็นเวลา 3 วัน นับจากวันที่ 6 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป
“ดิฉันอยากทราบว่ามาตรฐานชุมชนเฟซบุ๊กคืออะไร !?
คือการล่าอาณานิคมยุคใหม่กับบรรดาประเทศที่ใช้แพลตฟอร์มของ FB ใช่หรือไม่ ?!
คือการไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถพึ่งพาตัวเองได้ด้วยสมุนไพรในประเทศตัวเอง ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ใช่หรือไม่!?
คือการปิดหูปิดตาโอกาสที่ประชาชนจะเงยหัวขึ้นมาหาทางออกในการต่อสู้กับเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยตัวเองจากเชื้อโรคที่อาจถูกปล่อยหรือหลุดออกมาจากการวิจัยอาวุธชีวภาพที่บรรดาประเทศโลกกบาลกำลังซุ่มทำกันอยู่ ใช่หรือไม่!?
“คือการให้ทุกประเทศต้องถูกล้วงกระเป๋าซื้อวัคซีนที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ โดยบริษัทมหาอำนาจพวกนั้นไม่ต้องรับผิดชอบกับผลแทรกซ้อนใดๆ ต่อประชากรโลกทั้งโลก ใช่หรือไม่ !?
กล่าวให้ชัดเจนคือ FB ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้ได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นทางรอดจากโรคระบาดโควิด-19 ทางอื่นๆ นอกเหนือจากวัคซีนของบริษัทในประเทศมหาอำนาจเท่านั้น ใช่หรือไม่?
“ขอให้ประชาชนคนไทยได้เท่าทัน จับตาใส่เครื่องหมายคำถามตัวโตๆ กับการล่าอาณานิคมยุคใหม่ผ่านสื่อโซเชียล ที่น่าจะเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการสื่อสารการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการของประชาชนในโลกประชาธิปไตย” น.ส.รสนา ระบุ