ศาล ปค.สูงสุด พิพากษายืนไม่รับคำฟ้อง “ประพัฒน์” อดีต รมว.ทส.กับพวก ปมขอกรมควบคุมมลพิษชดใช้ 12 ล้าน โทษฐานทำเสื่อมเสียชื่อเสียง เหตุมีคำสั่งให้ตนรับผิดทางละเมิดโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ชี้ฟ้องคดีพ้นระยะเวลาฟ้อง
วันนี้ (29 มิ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องของนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)นายอภิชัย ชวเจริญพันธุ์อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายเสมอ ลิ้มชูวงศ์ และนายธิติ กนกทวีฐากร หรือนายมนู ทองศรี อดีตกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบและเสนอแนะการบริหารสัญญาโครงการจัดการน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ที่ยื่นฟ้องกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่นายประพัฒน์และพวกเป็นเงินคนละ 3 ล้านบาทรวม 12 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จากกรณีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษมีคำสั่งกรมควบคุมมลพิษให้นายประพัฒน์และพวกชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีความเสียหายโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ซึ่งนายประพัฒน์และพวกเห็นว่าทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ จึงยื่นฟ้องคดีดังกล่าว
โดยเหตุที่ศาลไม่รับคำฟ้องระบุว่าแม้คดีนี้จะอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง แต่มาตรา 51 พ.ร.บจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 กำหนดไว้คือภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่านายประพัฒน์กับพวก รับทราบคำสั่งที่พิพาทแล้ว จึงได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่ง ต่อปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ 4/2559 ลงวันที่ 2ก.ย.59 ให้ยกอุทธรณ์ เมื่อนายประพัฒน์กับพวกได้รับแจ้งคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ดังกล่าวตามหนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ลับ ด่วนที่สุดที่ ทส.0222.4/ว.562ลงวันที่2 ก.ย.59 เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 59 ดังนั้นวันที่ 6 ก.ย. 59 จึงเป็นวันที่นายประพัฒน์กับพวก รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี เนื่องจากนายประพัฒน์กับพวก อ้างว่าถูกกระทำละเมิดจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยอุทธรณ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์พิพาท ย่อมต้องมีความไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือศาลอื่น วินิจฉัยว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีนี้หากศาลปกครองรับไว้พิจารณาก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยได้เองว่าการกระทำตามฟ้องเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อนายประพัฒน์กับพวกหรือไม่ ดังนั้นการที่นายประพัฒน์กับพวกนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 15 ก.ค.62 ทั้งที่ควรจะต้องยื่นฟ้องภายในวันที่ 6 ก.ย.60 จึงเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาฟ้องตามมาตรา 51 พ.ร.บจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 และคดีนี้ไม่ใช่การฟ้องคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคลที่จะยื่นฟ้องเมื่อ ใดก็ได้ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจรับคำฟ้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้