โฆษกรัฐบาล เผย ครม.รับทราบ ไทยขยับอันดับความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นอีก 1 อันดับ อยู่ที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจ ครองอันดับ 3 ในอาเซียน
วันนี้ (22 มิ.ย.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบรายงานสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development) หรือ IMD ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา โดยไทยนั้นมีอันดับที่ดีขึ้น ขยับมา 1 อันดับ จากปี 2563 มาอยู่ในอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ผลจากวิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ทำให้คะแนนสุทธิเฉลี่ยของทั้ง 64 เขตเศรษฐกิจลดลงจาก 71.82 ในปี 2563 เหลือเพียง 63.99 จากคะแนนเต็ม 100 ในปี 2564 โดยไทยยังคงมีคะแนนสุทธิในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยอยู่ที่ 72.52 ลดลงเล็กน้อยจาก 75.39 ในปี 2563 และเมื่อมองภาพรวมในอาเซียน ไทยยังคงรักษาระดับอยู่ที่อันดับ 3 ของกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ โดยอันดับที่ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ (ลดลง 4 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 5) อันดับที่ 2 มาเลเซีย (ดีขึ้น 2 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 25) อันดับที่ 3 ไทย อันดับที่ 4 อินโดนีเซีย (ดีขึ้น 3 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 37) และอันดับที่ 5 ฟิลิปปินส์ (ลดลง 7 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 52)
ทั้งนี้ การเปรียบเทียบผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย IMD ระหว่างปี 2563 และ 2564 พบผลการจัดอันดับดีขึ้น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ปรับตัวดีขึ้น 3 อันดับ เป็นผลจากภาพลักษณ์ความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐที่มีการปรับตัวดีขึ้น และการเร่งรัดการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) มีการปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ เนื่องจากความพยายามของภาครัฐและภาคธุรกิจที่สนับสนุนการจ้างงานและการพัฒนาบุคลากรให้อยู่รอดในตลาดแรงงาน สำหรับด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการศึกษา (Infrastructure) ปรับตัวดีขึ้น 1 อันดับ เนื่องจากรัฐบาลมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) มีการปรับลดลงถึง 7 อันดับ โดยสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การค้าและการลงทุนของประเทศในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลต่อตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการส่งออกสินค้าและสถานการณ์การลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งการปรับตัวลดลงของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงผลจากการส่งออกภาคบริการที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักที่มีอันดับลดลงค่อนข้างมากจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ เพื่อขยับอันดับของไทย โดยเน้นให้ติดตามการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ทุกส่วนราชการต้องเร่งพัฒนาระบบข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย พร้อมใช้ และสะท้อนสถานการณ์การพัฒนาที่เกิดขึ้นจริง สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ภาคธุรกิจและประชาชนผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย ขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานทั้งเชิงกายภาพวิทยาศาสตร์และดิจิทัล และพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงและโรคอุบัติซ้ำและอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้จัดประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเข้าใจประเด็นร่วมกัน รวมทั้งกำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อติดตามและผลักดันแผนงาน โครงการ ที่จะช่วยยกอันดับตัวชี้วัดของไทยในอนาคตไทยให้ดีขึ้นต่อไป