รวมพลังสร้างกระแส “อุ๊งอิ๊ง” โพสต์อีก “ทักษิณ” 72 ยังฟิตรออุ้มหลาน รู้ทัน “แม้ว” ไม่ปล่อยให้ลอยนวล ย้อนเกล็ด เผยเคย “โม้” แก้จราจรให้ได้ภายใน 6 เดือน มาแล้ว นักวิชาการ ซัด “ลุงตู่ 7 ปีแล้วไง?” ก้าวร้าว โอหัง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (3 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยแพร่คลิปวิดีโออดีตนายกฯ ออกกำลังกายโดยการยกดัมเบล เพื่อเตรียมอุ้มหลานสาวคนใหม่พร้อมข้อความระบุว่า
“ใกล้เดินทางแล้วคุณตาโทรมาเช็กเช้าเย็น เป็นยังไง เตรียมของถึงไหน ธิธารหนักเท่าไหร่ พอบอกว่า ใกล้จะ 7 โลแล้วเท่านั้นแหละ ก็ส่งคลิปนี้มาทันที ว่าต้องเตรียมฟิตกล้ามพร้อมอุ้มหลานสักหน่อย บอกจะมารับที่สนามบิน ฟิตขนาดนี้ จะให้ธิธารเรียกพี่โทนี่ก็บอกมาาาา #ทักษิณ72 พี่โทนี่27”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“.....นายทักษิณ ชินวัตร เคยยืนชี้มือขึ้นฟ้าในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า จะแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครให้สำเร็จได้ใน 6 เดือน
.....นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 5 ปีเศษ สามารถแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร ได้สำเร็จจริงหรือไม่ ประชาชนคนไทยคงทราบกันดีอยู่แล้ว
.....การที่นายทักษิณอ้างว่า จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้ภาย 6 เดือน คงไม่ต่างจากที่เคยคุยว่าจะแก้ปัญหาจราจรให้สำเร็จได้ภายใน 6 เดือนนั่นแหละ
.....คือเก่งแต่พูดเท่านั้นเอง!”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“6 เดือน” ที่เลื่อนลอยของ “ทักษิณ”
#รองนายก
หลังจากลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ 4 เดือน คุณทักษิณได้หวนคืนสู่การเมืองอีกครั้งในฐานะหัวหน้าพรรคพลังธรรม และลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.ในพื้นที่เยาวราช กทม. คุณทักษิณได้นำพรรคพลังธรรมเข้าร่วมรัฐบาลผสมของ นายบรรหาร ศิลปอาชา รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลเรื่องคมนาคม
เขากล่าวว่า ต่อนี้ไปจะไม่ยอมให้ลูกหลานของเรา เกิดในรถ กินในรถ โตในรถ และตายในรถ อีกต่อไป โดยได้เสนอโครงการ 3 ช่วง ระยะสั้น กลาง ยาว
จะใช้เวลา 6 เดือน แก้ไขสัญญาณไฟจราจร กฎระเบียบการจราจร จะใช้ระบบควบคุมการจราจรใช้เทคนิคขั้นสูงแก้ปัญหารถติด ในอนาคตจะมีการสร้างสะพานลอยฟ้า ถนนวงแหวนและรถไฟใต้ดิน
คุณทักษิณได้ให้คำมั่นว่า ภายใน 6 เดือนจะแก้ปัญหารถติดใน กทม.
.......
#นักโทษหนีคดี
‘โทนี่’ อัด รบ.ทำหนี้ท่วม สวนประยุทธ์ ปมจำนำข้าว ขิง หากเป็นทักษิณ 6 เดือนฟื้น ศก.ได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2753985
เช่นเดียวกับ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“คุณทักษิณ ออกมาพูดว่า จะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้แค่ 6 เดือน ฟังแล้วอยากหัวร่อจริงๆ ครับ
เพราะในอดีต คุณทักษิณ ก็เคยพูดครับ เรื่อง 3 เดือน 6 เดือนนี่
ถ้าใครอยู่ในรุ่นที่คุณทักษิณกำลังเรืองอำนาจ คงจำได้ว่า คุณทักษิณออกมาพูดว่า “จะแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพ ให้สำเร็จภายใน 6 เดือน”
แล้วเป็นยังไงครับ ขายฝันพวกเราก็เลยได้แต่ฝัน
วันนี้ บทความของ เปลว สีเงิน
น่าสนใจครับ ขอยกให้ลองอ่านดูบางส่วนนะครับ
..คุณเสนาะ เทียนทอง เคยทักท้วงกับคุณทักษิณ
เรื่องจดทะเบียนคนจนว่า “ใช้ไม่ได้ คนท่ีเป็นหนี้สินท่ีไม่ใช่คนจน ก็จะไปจดด้วย
“คุณทักษิณ ตอบว่า “โธ่ พี่เหนาะ คนตาบอดมันจะกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้ เราจะได้เสียงเหรอ”...
แค่นี้ก็จะเห็นได้ว่า “ความรับผิดชอบต่อคำพูด” ที่คุณทักษิณได้ให้ไว้ต่อประชาชนมีหรือไม่มี แบบนี้จะพูด ซัก 3 เดือนก็ได้ เพราะตัวคุณทักษิณเอง ก็กลับมาบริหารงานไม่ได้อยู่แล้ว เลยพูดเอามันก็แค่นั้นครับ
ข้อดีของคุณทักษิณ ก็คือ พอออกมาพูดทีไร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อไปได้อีก 1-2 ปี ทุกครั้งเลยครับ แบบนี้คงอยู่ครบ 8 ปีสบายๆ ครับ”
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC ได้โพสต์ภาพกราฟิกภาพ ผลงานของรัฐบาล ภายใต้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุว่า ลุงตู่ 7 ปีแล้วไง? โดยยกผลงานต่างๆ ในช่วง 7 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯนั้น
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์ข้อความ ถึงกรณีดังกล่าว โดยให้ความเห็นว่า การตั้งคำถามแบบนี้ของทีมนายกรัฐมนตรี เป็นน้ำเสียงของความเป็นอันธพาล
การตั้งคำถาม ประเภท “ลุงตู่ 7 ปี แล้วไง” วลีนี้ แสดงน้ำเสียงของความเป็นอันธพาล บ่งบอกถึงความรู้สึกก้าวร้าว โอหัง
และพร้อมที่จะปรี่เข้าไปใช้ความรุนแรง แต่ไม่รู้สึกแปลกที่ลูกน้องของพลเอกประยุทธ์ใช้ภาษาแบบนี้ จะมากจะน้อยคงได้รับอิทธิพลมาจากพฤติกรรมของเจ้านายตนเองที่แสดงออกมาบ่อยครั้งในที่สาธารณะ อันที่จริง พฤติกรรมแบบอันธพาล คุกคาม อวดเบ่ง ดูเหมือนเป็นอุปนิสัยของหลายคนในรัฐบาลนี้ เป็นทั้งเจ้านายและลูกน้อง อย่างล่าสุดก็ไปแสดงกับเจ้าหน้าของรัฐสภา ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งมีความรู้สึกว่า รัฐบาลนี้เหมือนเป็นรัฐบาลอันธพาลมากขึ้นทุกวัน”
แน่นอน, สิ่งที่เห็นจากโพสต์ที่หยิบยกมา ก็คือ การต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง ฝ่ายทักษิณ กับฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกมองในแง่ลบทั้งสองฝ่าย แต่คนละบริบทเท่านั้นเอง
กรณี “ทักษิณ” เห็นชัดว่า พักหลังออกมาสร้างกระแสกับคนไทยถี่ขึ้น โดยเฉพาะผ่านคลับเฮาส์
และไม่แต่ “ทักษิณ” เท่านั้น ยังรวมถึง “ปู” - ยิ่งลักษณ์ “โอ๊ค” พานทองแท้ และ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ที่ร่วมด้วยช่วยกัน เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก หรือ สื่อสังคมออนไลน์ ในทำนองต้องการฟื้นความทรงจำให้คนไทย ในทางอ้อม และแม้จะโพสต์เรื่องส่วนตัว แต่ว่า ก็เป็นคนละเรื่องเดียวกับการเมืองอยู่ดี
อีกประเด็น “ทักษิณ” อาจลืมไปแล้วว่า พูดอะไร ปากไวอะไรเอาไว้ ถึงแม้ตัวเองจะไม่จำ แต่คนไทยจำ และรู้ว่า มันก็แค่พูดหาเสียง พูดโกหกคำโตเพื่อให้คนหลงเชื่อ และเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ส่วนประโยชน์ประชาชนจะได้จริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ไม่สนใจ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะบอกว่า สามารถแก้เศรษฐกิจได้ภายใน 6 เดือน ทั้งที่ความจริง อาจไม่ได้จริงจังกับคำพูดเลยก็ได้ นี่คือ ทักษิณ
อย่าลืมว่า ในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี มีโชคช่วยหลายอย่าง ที่ทำให้เศรษฐกิจไหลลื่น ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก ราคาพืชผลการเกษตร ข้าว ยางพารา ทุกอย่าง ไม่ต้องทำอะไรมากก็พุ่งสูงอยู่แล้ว ต่างกับทุกวันนี้ที่ทั่วโลกเศรษฐกิจตกต่ำ และเผชิญวิกฤตโรคระบาดเหมือนกันหมด คิดดูให้ดีก็จะรู้ว่า “ทักษิณ” คุยโต้โอ้อวด ตามนิสัย หรือ เป็นเรื่องที่ทำได้จริง
สุดท้าย คือ เรื่อง “ลุงตู่ 7 ปี แล้วไง” ที่นักวิชาการ หยิบยกเอามาโจมตี ก็ถือว่า เป็นเรื่องการเมืองเช่นกัน เพราะถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาล ก็อาจสะใจเล็กๆ เพราะถือว่า ตอบโต้ฝ่ายค้านได้ดี และต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายค้านเองก็โจมตีรัฐบาลสาดเสียเทเสีย อย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน ดังนั้นการตอบโต้เช่นนี้ถือว่า ยังอยู่ในเกม และไม่ได้เล่นนอกเกมแต่อย่างใด เพราะถ้อยคำ กับสิ่งที่ต้องการเสนอ มันแทบจะคนละเรื่อง นั่นคือ การเสนอผลงาน มากกว่า การข่มขู่คุกคาม ซึ่งเมื่อเทียบกับการแสดงออกของพรรคฝ่ายค้านอย่าง “ก้าวไกล” ถือว่า ไม่ได้ครึ่งของความก้าวร้าว โอหังด้วยซ้ำ จริงหรือไม่ ลองย้อนไปดูก็ได้
ที่สำคัญ สำหรับนักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็ขึ้นอยู่กับ เป็นนักวิชาการฝ่ายใดด้วย
เหนืออื่นใด ในเมื่อสังคมไทยถูกสร้างให้แตกแยกเป็น “สองขั้วขัดแย้ง” เสื้อเหลือง เสื้อแดง มาตั้งแต่ยุค “ทักษิณ” แล้ว โดย “ทักษิณ” ก็มีส่วน ดังนั้นการแสดงออกทางการเมือง จึงหนีไม่พ้นความขัดแย้งแตกแยกเช่นกัน และไม่มีวันเหมือนเดิม เหมือนก่อนยุค “ทักษิณ” อย่างน่าอนาถใจ