“แรมโบ้” แจงรัฐบาลใช้หนี้จำนำข้าวให้ ธ.ก.ส.แล้วกว่า 4 แสนล้าน ยังเหลืออีก 2 แสนกว่าล้านต้องทยอยจ่ายอีก 10 ปีทั้งที่เป็นหนี้ที่ตนเองไม่ได้ก่อ ย้ำรัฐบาลกู้เงินมาเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ รวมถึงแก้วิกฤตโควิด-19 แต่เฉลี่ยต่อปียังน้อยกว่ายุคยิ่งลักษณ์ ขอฝ่ายค้านมองด้วยใจเป็นกลาง อย่าทำให้ประชาชนเข้าใจสับสน หยิบมาพูดเฉพาะที่ตนได้ประโยชน์
วันนี้ (3 มิ.ย.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 เมื่อวานนี้ของพรรคเพื่อไทย ทั้งนายสุทิน คลังแสง และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อภิปรายเปรียบเทียบการก่อหนี้ของรัฐบาลกับโครงการรับจำนำข้าวในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ โดยนายเสกสกลชี้แจงว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสังคมตั้งแต่ปี 2560 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้ศึกษาโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดไว้เมื่อปี 2557 ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ใน 5 ฤดูการผลิต มีผลการขาดทุนทางบัญชีอยู่ที่เบื้องต้น 5.19 แสนล้านบาท แต่เท่าที่ทราบยอดขาดทุนทางบัญชีพุ่งขึ้นไปมากกว่า 6 แสนล้านบาท เหมือนอยู่ดีๆ คนไทย 60 กว่าล้านคนทั้งประเทศต้องเป็นหนี้คนละ 9,562 บาท ด้วยความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะนายกฯ หุ่นเชิดจากคนแดนไกล จะทำอะไรก็ต้องถามพี่ชายนายทักษิณก่อนทุกเรื่อง
และรัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ใช่หรือไม่ที่เร่งรัดใช้หนี้ชาวนา/ค่าข้าวเปลือกตามใบประทวนกว่า 8.84 แสนล้านบาท ยิ่งกว่านั้นยังมีค่าบริหารโครงการขององค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ค่าภาระดอกเบี้ย ค่าเช่าคลังของเอกชนในการเก็บรักษาข้าวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 8.4 หมื่นล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 9.68 แสนล้านบาท พอๆ กับการแก้ปัญหาโควิดที่เป็นปัญหาระดับโลก แต่จำนำข้าวเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานที่เกิดจากครอบครัวคนคนเดียว ที่กล่าวมามีหลักฐานทางราชการ มีรายงานต่างๆ มากมาย ตนเพียงแค่สรุปมาเล่าให้ฟังเท่านั้น
นายเสกสกลยังระบุว่า หากจะเปรียบเทียบจำนวนหนี้ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายกฯ ประยุทธ์ ยังพบว่านางสาวยิ่งลักษณ์บริหารงานไม่ถึง 3 ปีก่อหนี้ 3,300,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1,100,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์บริหารงานมา 7 ปี มีหนี้ 4,285,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 612,142 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ น่าเห็นใจสำหรับนายกฯ ประยุทธ์ คือต้องมาใช้หนี้ที่ตนไม่ได้ก่อ ตรงตามที่โบราณว่า “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ” แถมโดนปั่นกระแสบิดเบือนอีก
นอกจากเรื่องหนี้แล้ว สังคมต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่าโครงการจำนำข้าว “ทุกเมล็ด” สร้างปัญหาอะไรบ้าง เช่น ทำให้กลไกตลาดถูกบิดเบือนเพราะไปตั้งราคารับจำนำสูงลิ่ว ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตามกลไกตลาด กระตุ้นเกษตรกรมุ่งปลูกข้าวเพื่อมาขายรัฐ เน้นปริมาณ ไม่สนคุณภาพ พ่อค้าข้าวก็ล่มจม เพราะซื้อข้าวแข่งรัฐไม่ได้ หันมาเปิดโกดังรับเก็บข้าวเปลือกให้รัฐ เป็นเสือนอนกินรูปแบบใหม่ รัฐต้องรับภาระค่าโกดัง-ค่าดูแลข้าวส่วนนี้ปีละ 900 ล้านบาท ยิ่งกว่านั้น การที่รัฐทำตัวเป็น “พ่อค้าข้าวขาใหญ่ที่สุดในประเทศ” เหมือนทำธุรกิจแข่งกับเอกชน โดยใช้เงินภาษีคนทั้งประเทศ แต่กำไรส่วนต่างกลับไปอยู่กับคนในรัฐบาลยุคนั้น จากการเช่าโกดังข้าว การเวียนเทียนขายข้าว การนำข้าวเพื่อนบ้านเข้ามาจำนำ และยังมี “สต๊อกลม” ที่ลือเลื่องอีก ถามว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ แถมซ้ำเติมคุณภาพข้าว ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวของต่างประเทศได้อีกด้วย ขอวอนว่าเลิกปกปิด ซุกพรม หรือนั่งทับขี้เลย เขารู้ทันกันหมดทั้งประเทศแล้ว
ถ้าจะบอกว่าเป็น “นโยบายสาธารณะ” แล้วบอกว่าความสุขของชาวนาเป็นกำไรของรัฐบาล ก็อยากจะถามว่าที่ชาวนาผูกคอตายจำนวนมากเพราะไม่ได้รับเงินจากภาครัฐตามโครงการจำนำข้าว มันเป็นความสุขจริงหรือไม่ ความสุขของใคร ของผู้ที่ “ทำนาบนหลังคน” นั่งนับเงินบนศพชาวนา และคราบน้ำตาของพี่น้องเกษตรกรอย่างนั้นหรือ แต่ถ้ายังแถว่าดีจริง ก็อยากจะถามว่า แล้วที่เป็นคดีใน ป.ป.ช. และที่หนีคดีกันไปต่างประเทศเพราะยอมจำนนด้วยหลักฐาน หรือไม่กล้าสู้ความจริงหรืออย่างไร จึงหนีกันไปแต่พี่น้อง ปล่อยคนเคยเป็นพวกพ้องก็ติดคุกกันเป็นสิบๆ ปี
คนเราเจ็บแล้วต้องจำ จึงอยากจะขอทบทวนความจำอีกครั้ง ว่ารัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ฯ เข้ามาก็ได้ใช้หนี้ใบประทวนทันที และบริหารจัดการภาระหนี้โครงการจำนำนี้จนลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 โดยเจียดเงินงบประมาณมาชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส.รวม 449,669 ล้านบาท หนี้คงค้างตามโครงการฯ ปีการผลิต 2551/52-2556/57 (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2563) วงเงินรวม 231,308 ล้านบาท ซึ่งสำนักบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน.ประมาณการว่ากว่าจะให้หนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี (2565-2574) หรือปีละ 23,000 ล้านบาท แทนที่จะเอามาแก้ปัญหาโควิดและเยียวยาประชาชน เงินหายจากกระเป๋าปีละสองหมื่นกว่าล้านทุกๆ ปีจนเด็กประถมไปจบมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะหนี้ที่ใครก่อไว้
“การกู้เงินมาของรัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ รวมถึงงบประมาณต่างๆ นอกจากนำมาใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวแล้ว ยังมีการนำมาแก้ไขปัญหา และพัฒนาในหลายด้านของประเทศ รวมถึงนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ทั้งด้านสาธารณสุข รักษาผู้ติดเชื้อ และเยียวยา บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดี และทำประโยชน์ให้แก่ประเทศและประชาชนอย่างมาก ดังนั้นจึงขอให้พรรคเพื่อไทยพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน อย่าเอาแต่ตัวเอง เพราะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในรัฐบาลได้
“อย่าเพียงแค่อภิปรายเพื่อหวังเอาใจนายใหญ่ทั้งสองอย่างนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่นนั้นเลย ช่วยเอาข้อเท็จจริงมาพูดดีกว่า ถ้าไม่ผิดจริงศาลคงไม่พิพากษาให้อดีต รมต. ข้าราชการ และพ่อค้าที่ร่วมกันทุจริตติดคุกกันระนาวอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว