เอาล่ะสิ “VOICE TV” สื่อ “ทักษิณ” ฆ่า “เพื่อไทย” ชัดๆ ผลโหวต “ก้าวไกล” ทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น “ปู” ยิ่งลักษณ์ กินทุเรียนโชว์ ปลุกกระแสถึงไทย “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” สุดทน จวกลั่น “สามกีบ” บ้าไปแล้ว “หมอลำแบงค์” กลับใจ?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (30 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ เนื้อหาจาก truthforyou.co
ระบุหัวเรื่อง “เปิดชัดๆ ด้วยผลโหวต!? “เพื่อไทย” ตายคาถิ่น ผลโพล VOICE TV สื่อทักษิณ โดน “ก้าวไกล” ขยี้คาบ้าน!!”
โดยมีเนื้อหา ระบุว่า “จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของ Voice TV ได้เปิดโหวตในหัวข้อที่ว่า “ถ้ายุบสภา เลือกตั้งใหม่ คุณจะเลือกพรรคอะไร” โดยในโพสต์ผลโหวตนั้น
มีตัวเลือก 5 พรรค พลังประชารัฐ, ภูมิใจไทย, ประชาธิปัตย์, เพื่อไทย และก้าวไกล ปรากฏว่า ผลโหวตที่ได้ มีการเลือกพรรคพลังประชารัฐ 3%, เพื่อไทย 19%, ภูมิใจไทย 1%, ประชาธิปัตย์ 1% และก้าวไกล 76%
ซึ่งจากผลโหวตดังกล่าว ก็พอจะสะท้อนได้ว่า การเปิดผลโหวตของ Voice TV ที่อยู่ภายใต้การบริหารของลูกๆ นายทักษิณ ชินวัตร ในตอนนี้นั้น ทำให้ได้รู้มุมมองของประชาชน ที่ไม่ได้โหวตให้พรรคเพื่อไทย แต่กลับโหวตให้พรรคก้าวไกล มีคะแนนสูงลิ่ว นี่อาจจะเป็นจุดชี้ชัดว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้อยู่ในสายตาประชาชน และอาจจะเป็นจุดจบทางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตรด้วย
ทั้งนี้ การบริหารงานของ VOICE TV ประกอบด้วย กรรมการบริษัท 4 คน คือ พานทองแท้ ชินวัตร, พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์, ทรงศักดิ์ เปรมสุข, เฉลิม แผลงศร และมีผู้ถือหุ้นจำนวน 8 ราย คือ บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ร้อยละ 56.00), พานทองแท้ ชินวัตร (ร้อยละ 36.96), พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (ร้อยละ 7.04) และบุคคลอื่นๆ รวมอีก 5 หุ้น
อย่างไรก็ตาม ผลโหวตที่ทางเพจเฟซบุ๊กของ Voice TV ได้ตั้งขึ้นมา ทำให้เห็นชี้ชัดว่า พรรคก้าวไกล ได้ชนะด้วยคะแนนสูงสุด ภายใต้สื่อในเครือของนายทักษิณ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ที่จริงควรจะเลือกเพื่อไทยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ หลายๆ เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ทำให้คะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ค่อยๆ ลดน้อยลงด้วย รวมทั้งเรื่องความแตกแยกในพรรคที่ยังเป็นปมปัญหา อีกทั้งยังมีเรื่องการสนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว ที่คนไทยจำนวนมากรับไม่ได้อีกด้วย”
ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ขอบคุณของฝากจากเมืองไทยนะคะ ได้ทานทุเรียนแล้วก็อดทำให้คิดถึงเมืองไทย และพี่น้องประชาชนไม่ได้
ช่วงปี 2554 ที่เราเจอวิกฤตอุทกภัย ทุเรียนพันธุ์ดีๆ หลายพันธุ์ โดยเฉพาะทุเรียนเมืองนนท์ที่สร้างรายได้ให้กับชาวสวนทุเรียน เสียหายจากน้ำท่วม รัฐบาลช่วงนั้นได้จัดสรรงบประมาณเยียวยาพืชสวนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ประกอบกับความตั้งใจของเกษตรกรที่ช่วยกันดูแล และพัฒนา ทำให้ทุเรียนนนท์มีคุณภาพดีขึ้น พร้อมๆกับมีการยกระดับคุณภาพทุเรียนอีกหลากหลายพันธุ์ให้ได้มาตรฐานส่งออกมากขึ้น
ส่วนใครจะถูกใจกับรสชาติพันธุ์ไหนก็ไม่ว่ากัน ส่วนตัวดิฉันชอบทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิม อย่าง หมอนทอง ชะนี ก้านยาว หลิน หลงลับแล เพราะมีรสชาติแบบกรอบนอกแต่เนื้อด้านในมีสัมผัสนุ่ม ซึ่งปัจจุบันปลูกได้เกือบทุกภาคทั่วประเทศ บางพื้นที่ใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำเข้ามาช่วยวัดค่าดิน วัดการใช้ปุ๋ย และคาดการณ์ผลผลิต ทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะมากขึ้น เนื้อทุเรียนนุ่มละมุน หอมหวาน รสเข้มข้น ขายได้ราคาดี บางลูกราคาเป็นหมื่นเป็นแสน พอผลผลิตคุณภาพดีแบบนี้ก็มีการจองล่วงหน้า
เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำในปัจจุบัน มีพัฒนาเป็นแอปออกมาหลายตัว หากพี่น้องเกษตรกรบ้านเราให้ลูกหลานทดลองใช้แอปเหล่านี้ รวมทั้งแอปเกษตรล่วงหน้ากับสินค้าเกษตรอื่นๆได้บ้าง ก็จะพัฒนาให้สินค้าเกษตรนั้นๆ เป็นสินค้าเกษตรเฉพาะตัว มีอัตลักษณ์พื้นถิ่น สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการของตลาดโลกก็น่าจะช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรส่งออกด้วยค่ะ และในช่วงเวลาแบบนี้ หากใครยังพอไหว ก็ขอให้ช่วยกันอุดหนุนผลไม้ตามฤดูกาลแบบนี้ เพื่อช่วยเกษตรกรที่กำลังลำบากกันนะค่ะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“มันจะมากไป
ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้งกลุ่มปฏิวัติฝรั่งเศส กลุ่มสามกีบ สามนิ้ว กลุ่มไม่เอาเจ้า ดิ้นเหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก เกิดอาการจะเป็นจะตายให้ได้ เมื่อเห็นสถาบันฯลงมาช่วยพสกนิกรของพระองค์ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้หน่วยงาน โรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งจัดหาอาหารและสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพให้ประชาชน
ล่าสุด เมื่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ผ่าทางตัน จัดหาวัคซีนทางเลือกและจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยลดภาระของภาครัฐ โดยไม่แสวงหากำไร
กลุ่มคนที่ไม่หวังดี พร้อมใจกันออกมาด้อยค่า และโจมตีพระเมตตาของสถาบันฯ ว่าแสวงหากำไร
พวกนี้มันบ้าไปแล้ว
พวกนี้คงกลัวว่า สถาบันฯจะช่วยประชาชนได้มากกว่านักการเมือง จะทำให้ระบบการเมืองหมดความหมาย
เปล่าเลย ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน สถาบันฯไม่จำเป็นต้องลงมาแข่งขันกับนักการเมือง สถาบันฯไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่ได้ลงเลือกตั้ง แต่ทรงตั้งพระทัยช่วยประชาชน และแบ่งเบาภาระของรัฐบาลและส่วนราชการที่อาจติดขัดในกฎระเบียบของระบบราชการ
ใครจะชอบหรือไม่ชอบ อย่าเอาชีวิตของคนไทยเป็นตัวประกัน ต้องร่วมมือกัน ช่วยกันคนละมือละไม้
หากไม่ทำอะไร นั่งเฉยๆ อย่าเอาเท้าราน้ำ อย่าปากมาก ติโน่นตินี่”
และจาก เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ เนื้อหาจาก truthforyou.co ระบุว่า
“เรื่องจริง หรือเล่นละคร? “หมอลำแบงค์” กลับตัว เลือกทางเดินชีวิตใหม่ ทำอาชีพสุจริต ไม่กล้าโจมตีสถาบันฯ!?”
โดยมีเนื้อหา ระบุว่า “จากกรณีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 64 ที่ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ ผู้ต้องหาคดี 112 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
และต่อมา เพจเฟซบุ๊ก The Isaan Record สื่อออนไลน์เพื่อคนอีสานได้โพสต์ข้อความถึงความเคลื่อนไหวของหมอลำแบงค์ ที่ได้ให้สัมภาษณ์หลังศาลให้ประกันตัวชั่วคราวว่า
“ผมเหมือนตายแล้วได้คืนชีพ ทำให้ต้องรับเงื่อนไขของศาล ที่ห้ามชุมนุม ห้ามพูดถึงสถาบัน”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา เมื่อเวลา 21.30 น. กลุ่มเพื่อนหมอลำแบงค์ จังหวัดขอนแก่น ได้จัดกิจกรรมผูกแขนเอิ้นขวัญ ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีเงื่อนไขห้ามไปร่วมกิจกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันนั้น
ล่าสุด ในเฟซบุ๊กของ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้โพสต์ถึงหมอลำแบงค์ ระบุว่า “พราหมณ์เก๊ ทำพิธีตอกฝาหมุดส้วม กลางสนามหลวง เป็นคนที่กล่าวว่า ทำรัฐประหารไม่ได้ ก็ให้ประชาชนทำ ราชประหาร ที่แยกราชประสงค์ เจอคดี ม.112 ไปแล้วครับ ศาลให้ประกันตัวออกมา ตอนนี้กลับมาเป็นหมอลำเหมือนเก่า ไม่จาบจ้วงเบื้องสูง แต่ว่า คดีก็ต้องดำเนินต่อไป ถึงอย่างไร หมอลำแบงค์ก็จะต้องเข้าคุกแหละครับ ผมเอามาแชร์ให้ดูให้เป็นอุทาหรณ์ ว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือของสามสัสเลยครับ อนาคตหมดสิ้น ต่อให้สำนึกตัวในภายหลัง แต่ความผิดก็สำเร็จแล้ว
หมอลำแบงค์นี่โทษจะหนักมากครับ เพราะกล่าวคำว่า ราชประหาร อันเป็นการขู่อาฆาตมาดร้าย มูลฐานความผิดสูงสุดได้ถึงจำคุก 15 ปี ตามมาตรา 112 ป. อาญาครับ”
ขณะที่ในเพจเฟซบุ๊กของหมอลำแบงค์ พบว่า ตั้งแต่ได้รับการประกันตัว ไม่ได้โพสต์ข้อความหรือกระทำการใดๆ ที่จาบจ้วงสถาบัน และกลับไปรับงานหมอลำ ร้องเพลงดังเดิม
และเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2564 ได้ปรากฏคลิปวิดีโอกลางไลฟ์สดของ Amnesty International Thailand ฉลองครบรอบ 60 ปี มีเหล่าแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และคนหนุนเข้ามาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่หมอลำแบงค์ไม่ได้พูดคุย เพียงแต่ร้องเพลง เล่นหมอลำร่วมด้วยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การกระทำของหมอลำแบงค์ ยังไม่ได้ขัดต่อเงื่อนไขศาล และดูท่าว่า เจ้าตัวกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำอาชีพสุจริต ไม่เหมือนกับเพนกวิน ที่ยังมีการโพสต์จาบจ้วงสถาบันอย่างต่อเนื่อง ผิดเงื่อนไขศาลชัดเจน”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ นับแต่ ทำไมความนิยมพรรคเพื่อไทย จึงสู้พรรคก้าวไกลไม่ได้ และทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นเช่นนี้
ประเด็นก็คือ นี่คือ ผลโหวตทางออนไลน์ และต้องยอมรับว่า สาวกทางออนไลน์ของ พรรคก้าวไกล ถือว่า ล้นหลามกว่าใครเพื่อน รวมทั้ง “สามกีบ” ด้วย แต่ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริง ในบริบทของสังคมไทย ที่ประชาชน ภาพเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางหลายจังหวัด ยังคงรักและศรัทธา “ทักษิณ” อยู่อย่างมาก ผลโหวตที่ออกมา อาจจะแตกต่างก็เป็นได้
แม้ต้องยอมรับว่า กระแสนิยมที่มีต่อแกนนำพรรคชุดปัจจุบัน และการเล่นการเมืองแบบไม่มีอะไร เป็นที่พึ่งประชาชนได้ในปัจจุบัน จะส่งผลต่อความนิยมอย่างมากก็ตาม เห็นได้ชัดจากการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นที่ผ่านมา
ส่วนพรรคก้าวไกล ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่าลืม “คณะก้าวหน้า” ซึ่ง เป็นเสมือน “ลูกพี่ใหญ่” พวกเขาแพ้เลือกตั้งท้องถิ่นมาตลอดเช่นกันและแพ้อย่างหมดรูปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้ง นายก อบจ. เลือกตั้งนายกเทศมนตรี เทศบาลทั่วประเทศ จนถูกมองว่า เป็นผลมาจาก นโยบาย “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่พวกเขาสนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว และประชาชนจะสั่งสอนพรรคก้าวไกล ในโลกแห่งความเป็นจริง หากมีการยุบสภา เลือกตั้งใหม่หรือไม่ ก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เช่นกัน
เรื่อง “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาโพสต์กินทุเรียนจากเมืองไทย แล้วพูดถึงความเป็นห่วงเป็นใยเกษตรกร และพูดเป็นกำลังใจอะไรต่างๆ รวมทั้งมี “ทักษิณ” แทบจะเป็นเงาตามตัว เห็นได้ชัดว่า เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทั้งคู่ เพื่อหล่อเลี้ยงกระแสความนิยมให้มากที่สุดในไทย โดยเฉพาะเพื่อฟื้นความทรงจำที่เคยทำนโยบายประชานิยมเอาไว้อย่างได้ผล
อย่าลืมว่า “ทักษิณ” รู้! ชนชั้นล่าง ไม่คิดถึงคดี แต่คิดถึงราคาพืชผล คิดถึงเศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรือง และโหยหามันอยู่ทุกวัน เพียงแต่พรรคเพื่อไทย ที่เป็นอยู่ทำไม่ได้อีกแล้ว
ที่น่าวิเคราะห์ลงไปเบื้องลึก ดูเหมือน “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” กำลังเดินแผนอะไรบางอย่าง ที่สุดท้ายแล้ว พวกเขาต้องชนะในสภา อย่างฟ้าถล่มดินทลายให้ได้ และปลดล็อกคดีที่มีอยู่ทั้งหมด ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม อย่างที่ “ทักษิณ” เคยพูดเสมอว่า จะกลับไทยอย่างเท่ๆ และเคยอ้อนให้คนไทยช่วยกลับบ้าน
แต่นั่นอาจหมายถึง อุปสรรคใหญ่หลวง ที่ถ้าจะทำเช่นนั้น ต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ให้ได้ก่อน รวมทั้งยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงได้ยิ่งดี จึงไม่แปลกที่ “ทักษิณ” ถูกมองว่า เป็นแนวร่วมอย่างไม่เปิดเผยตัวตนของ “ขบวนการ 3 นิ้ว” หรือไม่
สำหรับ ขบวนการ 3 นิ้วในเวลานี้ ก็อย่าง อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองฯ โพสต์ความเห็น มันมีนักการเมือง ทั้งในและนอกสภา รับลูกกันในการด้อยค่าสถาบันฯอย่างชัดแจ้ง นอกจากแกนหลักในการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” อย่างม็อบ 3 นิ้วแล้ว
ทั้งหมดดูให้ดี มันมี “จิ๊กซอว์” ลางๆใ ห้เห็นอยู่ เพียงแต่ไม่คมชัด และอาจยังไม่ถึงวันที่พวกเขาจะแห่กันออกมา แต่ก็ไม่แน่ เมื่ออำนาจรัฐที่เป็นอยู่อ่อนแอถึงขีดสุด ก็อาจได้เห็นอย่างถ้วนทั่วทุกตัวคน ก็คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป