นายกฯ สั่งเร่งแก้โควิดในคุก เข้มพื้นที่เสี่ยง ยัน มิ.ย.ฉีดวัคซีนปูพรมทั่วไทย ย้ำวาระแห่งชาติทุกกลุ่มเข้าถึง เข้มร้านอาหารไม่ยึดมาตรการเจอปิด ลั่นสู้ไปด้วยกันประเทศต้องดีขึ้นด้วยความร่วมมือคนไทยด้วยกัน เพราะเราทุกคนคือทีมประเทศไทย
วันนี้ (18 พ.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราพบว่าสถานการณ์โควิดในกรุงเทพฯและปริมณฑล ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว แม้ว่าเราจะสามารถลดจานวนผู้ติดเชื้อในบางพื้นที่ แต่ก็ยังมีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก ทำให้ผมต้องเรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเป็นการด่วนในช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ เพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุด และหาทางแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด
ซึ่งผลของการประชุมสรุปได้ว่า จะเร่งแก้ไขปัญหาการ ติดเชื้อในเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการตรวจเชิงรุกให้ได้มากและเร็วที่สุด และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา หากมีผู้มีอาการรุนแรง ก็จะนำออกมา เข้ารักษาในโรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบต่อไป โดยเราจะให้การดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้ออย่างดีที่สุด ด้วยความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด จึงมีโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนได้ น้อยมาก และผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคอยดูแลเข้มงวดในเรื่องนี้ ในช่วงที่มีการระบาด โดยจะไม่ให้มีการเข้าเยี่ยมจากภายนอก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เราจะยังเดินหน้าต่อไปในแนวทางที่เราทำสำเร็จมาแล้ว คือ การระดมตรวจเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วย ส่งตัวรักษา และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด นั่นคือ การใส่มาสก์ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเว้นระยะห่าง และการตรวจวัดอุณหภูมิในทุกสถานที่
ซึ่งการระบาดในขณะนี้ เกิดขึ้นจากพื้นที่ที่มีการรวมตัวกันอย่างแออัด ผมจึงได้สั่งการให้ทาง ศบค. เร่งออกตรวจพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯทั้งหมด ซึ่งสถานที่ที่เกิดการระบาด รวมทั้งในเรือนจำ เราจะใช้แนวทาง Bubble and Seal คือ การปิดกั้นการเดินทางเข้าออกของคนในสถานที่นั้นๆ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายออกไปสู่ภายนอก ซึ่งการที่สถานที่ที่มีการแพร่กระจาย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด ทำให้ทีมแพทย์เชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็ว โดยมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน
แต่ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ยังคงทรงตัวแต่สิ่งที่เราต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน ก็คือ เรามีจำนวนผู้ป่วยที่หายป่วยในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก จนถึงวันนี้มีเกือบ 7 หมื่นคนแล้ว เฉพาะระลอกนี้มากกว่า4หมื่นคนหรือประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ของเรา ที่คัดแยกตามอาการและรักษาอย่างดี และการเตรียมความพร้อม ด้านอุปกรณ์และเตียงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญที่ผมและรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ การฉีดวัคซีน ที่ผมได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติซึ่งทางรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทางช่องทางแรก คือ
ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้มาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้กลุ่มผู้อายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งข้อดีคือ ผู้ลงทะเบียนสามารถจองคิวฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เลือกในวันเวลาที่ท่านสะดวกได้เอง และรับรองว่าจะได้ฉีดในวันเวลาดังกล่าว อย่างแน่นอน สามารถเตรียมความพร้อมได้ดี หรืออาจจะเป็นระบบอื่นของแต่ละจังหวัด เช่น ภูเก็ตชนะ ก็ได้
ส่วนช่องทางที่สอง คือ วิธีที่เสริมจากช่องทางระบบหมอพร้อม เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุดคือ ลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน หรือ Onsite Registration ในกรณีที่มีวัคซีน สนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดเตรียมระบบในช่องทางนี้เพื่อให้เกิด ความพร้อมมากที่สุดในการจัดสรร
ส่วนในช่องทางที่สาม คือ การกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือ การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ คือ ประชาชนกลุ่มเฉพาะเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อ ระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งจาเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้า ไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน สามารถที่จะยื่นเรื่องให้กับ กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป
โดยเรามีเป้าหมายว่า จะระดมฉีดวัคซีแบบปูพรม ให้กับประชาชนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือน คือ เดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งนอกจากโรงพยาบาล และจุดฉีดหลักแล้วยังมีจุดฉีดวัคซีนเสริมอีกอย่างน้อย 25 จุดกระจายทั่ว กทม.รวมถึงสถานีกลาง บางซื่อ เพื่อให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่า และแรงงานต่างๆเข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็ว
โดยที่ผ่านมา การวางระบบการฉีดวัคซีนอาจมีปัญหาติดขัดบ้าง หรือเกิดความไม่ชัดเจนบ้าง จากการให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจานวนมาก และการวางแผนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพตรงเป้าหมาย ของประเทศมากที่สุด ผมได้ติดตาม และเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยรวดเร็ว ต้องขออภัยที่อาจทำให้เกิด ความไม่สะดวกบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน
เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอ และจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในต้นเดือนมิถุนายนนี้อย่างแน่นอน โดยจากที่ผ่านมา เราเร่งฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้ว มากกว่าสองล้านสามแสนโดส ได้ผลเป็นอย่างดี และไม่มีใครเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเลยแม้แต่คนเดียว จึงขอให้ท่านมีความมั่นใจได้
นอกจากนี้ ผมยังได้เน้นย้ำกับที่ประชุม ครม. ในวันนี้ในเรื่องของการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับ ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐบาล และ ศบค. ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งและก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อสังคม เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามมาตรการที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะในการรณรงค์ให้ประชาชน ทุกคนได้ฉีดวัคซีนเพื่อให้ประเทศไทยเดินไปต่อได้ หากใครมีเจตนาในการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ย่อมมีความผิดตามกฎหมายและถูกดำเนินคดีได้ ดังนั้นผมจึงขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานของรัฐ ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสอบดูแลข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของท่านตลอดเวลา และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็ว หากเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือสื่อมวลชนและผู้ใช้สื่อทุกคนให้ใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และ ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งข่าวไปยังหน่วยงานต่างๆ ด้วย
ในมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดและมาตรการผ่อนคลาย ที่วันนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เช่น การอนุญาตให้พื้นที่สีแดงเข้มนั้นสามารถนั่งทานอาหารได้ร้านได้ โดยจำกัดจำนวนคน เป็นความพยายามในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีจำนวนมาก และกระทบกับวิถีชีวิตประจาวันของผู้คน โดยผ่านการพิจารณาจากคณะที่ปรึกษาอย่างรอบคอบ และ ต้องมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด เช่นการจำกัดคนไม่เกิน 1 ใน 4 และเว้นระยะห่าง หากพบว่าร้านใดไม่ดำเนินการตามมาตรการ จะสั่งปิดในทันที หรือมีการทบทวนมาตรการ จึงขอให้ เจ้าของร้านอาหารทุกร้านในกรุงเทพและปริมณฑลดำเนินการอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่คอยดูแล ควบคุมอย่างใกล้ชิดด้วย
นอกจากนี้ ผมยังได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ จากชายแดนอย่างเข้มงวดสูงสุด หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดที่แสวงหาผลประโยชน์บนความเสี่ยง ของประเทศชาติ ต้องลงโทษให้หนักที่สุดโดยไม่มีการยกเว้น
ผมขอขอบคุณหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งสภาวิศวกรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม SCG และบริษัทห้างร้านต่างๆ รวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ทรี่ วมน้าใจ บริจาคสิ่งของ เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และช่วยเหลือประชาชน
ผมขอเน้นย้าว่า ในวันนี้ การฉีดวัคซีน เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่จะต้องเร่งดาเนินการ เพื่อให้ ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้ นโยบายของผม คือ เราต้องเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เร็ว และให้ ถึงประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทาได้ หลังจากได้รับความความเห็นของประชาชนจำนวนมาก ผมจึงได้ตัดสินใจว่า เราจะไม่รอให้คนวัยใดวัยหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ได้รับวัคซีนจนครบก่อน จึงค่อยเปิดให้คนกลุ่มอื่นๆ ได้รับวัคซีน แต่เราจะปรับแผนการเดินหน้าประเทศ ด้วยการเปิดโอกาสให้ทุกคน ที่พร้อมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัยใด เข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัยทำงาน เพื่อปกป้องคนทำมาหากิน คนที่เป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงคนในบ้าน ให้ออกจากบ้านไปทางาน ทำมาหาเลี้ยงชีพ และเดินหน้า ชีวิตกันต่อไปได้
เพราะเราจะเอาชนะโควิดได้ก็ด้วยการเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ช่วยกัน ทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุด ดูแลซึ่งกันและกันให้ดีที่สุด เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปต่อได้ เราจะสู้ไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องดีขึ้น ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความรักสามัคคี ของคนไทยด้วยกัน เพราะเราทุกคนก็คือ “ทีมประเทศไทย”