กลัวอะไร? “ฮาร์ท สุทธิพงศ์” โพสต์เย้ยหมิ่นเหม่ วัคซีนเจ้านาย “หมออั้ม” ชี้ รัฐบาลไม่น่าเชื่อถือ “เกษียร” ตอกย้ำ คนลังเลเพราะไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” ยกระดับปัญหาเป็น “วาระแห่งชาติ” รณรงค์ใหญ่ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ
น่าสนใจอย่างยิ่ง วันนี้ (11 พ.ค. 64) เฟซบุ๊ก Suthipongse Heart Thatphithakkul ของ “ฮาร์ท” สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล อดีตนักร้องดัง โพสต์ข้อความระบุว่า
“ยาเจ้านายขายไม่ออก
สต๊อคไม่เคลื่อนที่
ลิ่วล้อต้องออกมาช่วยเรื่องการตลาด
(ผมไปก๊อปคนอื่นเขามาอีกที)
#ผูกขาดวัคซีนนี่ถ้าไม่เหี้ยมจริงทำไม่ได้นะ”
ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่า มีคนบางกลุ่มพยายามปลุกปั่นลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเรื่องวัคซีน แถมปล่อยข่าวปลอม ทำให้คนไม่มั่นใจในการ “ฉีดวัคซีน” ทั้งที่แพทย์ทั่วประเทศออกมายืนยันแล้วว่า วัคซีนโควิด-19 ไม่อันตรายอย่างที่คิด อาจจะมีผลข้างเคียงบ้าง แต่การให้ประชาชนทุกคนกล้ามาฉีด คือ ทางรอดเดียวในการควบคุมการแพร่ระบาด
แต่ถึงกระนั้น กลุ่มสามกีบก็พยายามปล่อยข่าวปลอม เพื่อหวังเพียงแค่ได้โจมตีรัฐบาล หนึ่งในนั้นก็คือ ฮาร์ท สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล ที่พยายามปลุกกระแสโจมตีวัคซีนโควิด ว่า เป็นการผูกขาดตามแนวคิดของกลุ่มสามกีบอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะโพสต์ข้อความดังกล่าว
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก อั้ม อิราวัต ของ นายอิราวัต อารีกิจ หรือ หมออั้ม อดีตนักร้อง นักเคลื่อนไหวการเมืองที่เริ่มถอยห่างจากม็อบราษฎร หลังมีแนวคิดและจุดยืนไม่ตรงกันในเรื่องปฏิรูปสถาบัน โพสต์ข้อความระบุว่า
“ทุกคนอยากฉีดวัคซีนโควิด
และนาทีนี้ ในฐานะแพทย์
ผมยืนยันว่า #ฉีดวัคซีน_ดีกว่าไม่ฉีด
แต่..
ที่คนเขากลัว เขาไม่กล้าฉีด และลังเล
#เพราะความเชื่อถือของรัฐบาล มันหมดสิ้น
ตั้งแต่ #การเลือกวัคซีนแบบผูกขาด
เลือกวัคซีน ที่วงการแพทย์ยังเสียงแตก
เลือกวัคซีน ที่นายกฯ รองนายกฯ ยังไม่กล้าฉีด
เลือกวัคซีน ที่ลูกหลานคนใกล้ตัว ก็ไม่มั่นใจ
โดยเฉพาะ กับผู้สูงอายุ-ผู้มีความเสี่ยง
แถมตอบคำถามประชาชนไม่ได้สักอย่าง
เรื่องไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นปี
ต้นเหตุจากพวก VVIP และนโยบายรัฐ ล้วนๆ
นาทีนี้ ก็ยังไม่มีความจริงใจช่วยเหลือประชาชน
ที่ซ้ำร้าย วันนี้แถลงอย่าง อีกวันแถลงอย่าง
เรื่องการเมืองจะพลิกลิ้น ตลบตะแลง นั้นพอเข้าใจ
แต่เรื่องวัคซีน เรื่องวิชาการความเป็นตาย
จะแถลงแบบเช้าอย่างเย็นอย่างไม่ได้
ทางออกเดียว คือ #เปิดเสรีวัคซีน
ให้ประชาชนที่มีกำลัง ได้แบ่งเบาให้คนอื่นๆ
ให้คนที่ไม่มีโอกาสจะได้ฉีด ได้เข้าถึงวัคซีนมากขึ้น
ทำให้เป็น #รูปธรรม จริงๆ ซะทีเถิดครับ
และ ช่วยพูดตรงๆ ถึง #ความเสี่ยงของวัคซีน
ให้ประชาชนเขามีโอกาส ได้ตัดสินใจ ได้เลือก
ได้เลือก #ลมหายใจที่เหลืออยู่ ของเขา
แม้ว่า #ลมหายใจที่ผ่านมา ตั้งแต่ลืมตาเกิด
พวกเขาไม่เคยมีโอกาส ได้เลือกอะไรจริงๆ”
เช่นเดียวกับ เฟซบุ๊ก Kasian Tejapira ของ ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์สาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความว่า
“ใครจะไปเชื่อพวกคุณลง?
ปัญหาความลังเลของผู้คนที่จะฉีดวัคซีนแอนตี้โควิดบางยี่ห้อตอนนี้
เชื่อมโยงโดยตรงกับความไม่ไว้วางใจของสาธารณชนต่อรัฐราชการและรัฐบาลไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา
และการปราศจากองค์กรกลไกที่ใช้ได้ผลจริงในการให้รัฐราชการและรัฐบาลไทยต้องพร้อมรับผิด หากบิดเบือน โกหก ใส่ร้าย ผิดคำมั่นสัญญากับประชาชน
ย้อนหลังไปมองดูสิ่งที่รัฐราชการและรัฐบาลไทยได้ทำกับประชาชนไทยนับแต่รัฐประหาร 2557 เป็นต้นมาดูเถอะว่ากี่ครั้ง กี่รอบ กี่หนแล้ว ที่โกหกตลบตะแลงปลิ้นปล้อนบิดเบือนให้ร้ายป้ายสีหน้าด้านหน้าตาเฉย
ใครจะไปเชื่อพวกคุณลง?”
ด้าน เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ Prayut Chan-o-cha ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ หัวข้อ วัคซีน “วาระแห่งชาติ” ของไทย
โดยระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงเมื่อใด นั่นคือ “วัคซีน” ซึ่งรัฐบาลมีแผนจัดหาทั้งในระยะยาวและระยะฉุกเฉิน ที่ผ่านมา เราได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ รวมเกือบ 2 ล้านโดสแล้ว โดยระดมฉีดวันละหลายหมื่นโดส และจากมาตรการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล เราจึงได้วัคซีนมาเพิ่มในเดือนนี้ อีก 3.5 ล้านโดส และจะได้ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้อีกมากครับ
ผมขอย้ำว่า รัฐสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชากรในประเทศได้ทุกคนอย่างแน่นอน และจะไม่หยุดการจัดหาและสำรองใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน จากเป้าหมายเดิมของเราที่วางไว้ว่า จะต้องหาให้ได้ 100 ล้านโดส สำหรับประชากร 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ ผมได้สั่งการให้ขยายเป้าหมายเพิ่มเติมออกไปอีกเป็นอย่างน้อย 150 ล้านโดส ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า จะจัดหาได้ครบถ้วนอย่างแน่นอน
ประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่เป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ได้มาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลก โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จะส่งมอบวัคซีนให้เราได้อย่างน้อย 61 ล้านโดส ซึ่งจะสร้างความมั่นคงยั่งยืนในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 นี้ในระยะยาว และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันให้กับประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ผมได้เสนอเรื่องวัคซีนโควิด-19 เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่เราจะให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินนโยบายต่างๆ อย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจาย ไปจนถึงการฉีดด้วย เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยของเราให้เร็วที่สุด
แต่สิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หากพี่น้องประชาชนในประเทศไทย ไม่มาเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ผมจึงอยากขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคน มาเข้ารับการฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุด ประเทศไทยจึงจะไปต่อได้ ผมขอยืนยันว่า วัคซีนที่รัฐบาลนำเข้าทุกชนิด มีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลายสิบล้านคน รวมทั้งผู้นำประเทศทั่วโลก
โดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกชนิด สามารถป้องกัน การป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100% ส่วนโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงนั้นมีน้อยมากๆ หากเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสในการติดโควิด และเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีสูงกว่าการฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่า นอกจากนั้น ในการฉีดแต่ละครั้ง จะมีแพทย์ผู้ทำการประเมินความเหมาะสม และคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดอีกด้วย จึงไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งผมเอง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็ฉีดวัคซีนโควิดกันไปแล้วโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
ล่าสุด จากการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบ “หมอพร้อม” และช่องทางต่างๆ สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว กว่า 1.6 ล้านคน สูงสุด คือ กทม. กว่า 5 แสนคน ตามมาด้วยลำปาง ซึ่งมียอดมากกว่า 2 แสนคน ซึ่งหากนับตามสัดส่วนประชากร ก็ต้องถือว่าลำปางมีสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม ด้วยการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร และทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ต้องขอชื่นชมจังหวัดลำปาง และขอให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เร่งรณรงค์ให้ประชาชนในจังหวัดของท่านมาขอรับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
ในเรื่องวัคซีนนี้ ผมจะดูแลติดตามด้วยตัวของผมเองอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ในการวางแผนประเทศไทยต่อจากนี้ ขอให้พวกเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนชาวไทย ทั้งตัวท่านและคนรอบตัวท่าน ได้เห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด-19 และช่วยกัน #ฉีดวัคซีน_หยุดเชื้อ_เพื่อชาติ กันครับ”
แน่นอน, ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาการฉีดวัคซีนเนื่องมาจากการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างคู่ขัดแย้งพล.อ.ประยุทธ์และพวก กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง
จริงอยู่ อาจมีปัญหาความน่าเชื่อถือของวัคซีนด้วยว่า มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน มีผลข้างเคียงร้ายแรงอย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ ที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีดวัคซีน หรือ ลังเลใจที่จะฉีด
แต่ถ้าไม่มีบางฝ่าย ออกมาปั่นกระแสความน่ากลัว กระแสผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเกินจริง อาจถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต อย่างที่เคยเป็นข่าว กระสาธารณสุข และรัฐบาลก็คงทำความเข้าใจไม่ยากนัก และอาจอยู่ที่รัฐบาลเองล้มเหลวในการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงทันการณ์ด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น ปรากฏว่า ประชาชนจำนวนหนึ่ง เลือกที่จะเชื่อกระแสข่าวลือ ข่าวปลอม ที่ถูกปั่น ถูกปล่อยเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าที่จะเชื่อรัฐบาล โดยเฉพาะในโลกโซเชียล ซึ่งเป็น “สนามรบ” ของกลุ่มที่เรียกว่า “สามกีบ” จึงดูเหมือนนี่คือ ปัญหาความสับสนว่า แท้จริงแล้ว อะไรจริง อะไรไม่จริง
เหนืออื่นใด อย่าลืมว่า มีคนที่ต้องการให้รัฐบาลพังเพราะโควิด-19 อยู่ด้วย เพื่อที่จะให้เปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเปิดโอกาสให้ได้เข้ามามีอำนาจแทน โดยไม่สนใจว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่จะมีเคราะห์กรรมอย่างไร นี่คือ ความเห็นแก่ตัวอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต
ส่วนว่า ใครคนนั้น หรือพวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร ดูได้ไม่ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก “มือไม่พายเอาเท่าราน้ำ” ด่าได้เป็นฟืนเป็นไฟ แต่ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ลองพิจารณาดูก็แล้วกัน