ข่าวปนคน คนปนข่าว
** บทพิสูจน์ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” สืบทอด “เจ้าสัววิชัย” จากถูกเหยียด เบื้องหลังทำ “เลสเตอร์” จนฝรั่งยอมรับทีมที่บริหารดีสุดในลีก
“เลสเตอร์” คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ปีนี้มาครอง นอกจากสร้างประวัติศาสตร์สโมสรในรอบ 137 ปี เจ้าของสโมสรที่เป็นคนไทยโดยครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” ก็เป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอล และคนอังกฤษชื่นชมว่าเป็นส่วนสำคัญอยู่เบื้องหลังของ “เลสเตอร์” ในยุคปัจจุบัน
“วิชัย ศรีวัฒนประภา” อดีตประธานสโมสร เป็นผู้ก้าวเข้ามาซื้อทีมเลสเตอร์ และเจ้าสัวคนไทยก็ใช้สไตล์การบริหารทีมในแบบฉบับของตัวเอง ทั้งเป็นกันเอง เอาใจใส่ และให้เกียรติ นักเตะ ผู้จัดทีม เจ้าหน้าที่สโมสร โดย “วิชัย” เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมื่อปี 2018 พร้อมกับผู้เคราะห์ร้ายอีก 4 ชีวิต ก่อนที่ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ในฐานะลูกชาย จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานสโมสรแทนที่ และสืบทอดการบริหารของผู้เป็นบิดาได้อย่างดี
ภาพการฉลองถ้วยแชมป์ ที่ ”อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ถูก แคสเปอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตูของทีมกวักมือเรียกให้ลงมาร่วมฉลองแชมป์กับบรรดานักเตะเลสเตอร์ในสนามแบบเป็นกันเอง กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเลสเตอร์ ที่น่าประทับใจ
“ริโอ เฟอร์ดินานด์” อดีตกองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายถึงกับแสดงความเห็นแบบไม่คิดว่าจะได้เห็น เพราะตอนนี้หลายๆ ทีมในอังกฤษ ความสัมพันธ์ระหว่างประธานสโมสรกับนักเตะ หรือกับแฟนบอลไม่ดีนัก เห็นได้จากรอยร้าวฉานที่เต็มไปหมด การได้เห็นภาพประทับใจที่เจ้าของสโมสรร่วมกับนักเตะ ส่งถึงแฟนบอลช่างสดชื่นเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าจะมีสโมสรที่มีความแน่นแฟ้นตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด เหมือนอย่างที่เห็นจากสโมสรแห่งนี้
ขณะ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ผู้จัดการทีม “เลสเตอร์ ซิตี” ก่อนจะพาจิ้งจอกสีน้ำเงิน คว่ำ “เชลซี” บอกเอาไว้ว่าต้องการจะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ให้สำเร็จ เพื่อ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” อดีตประธานสโมสรผู้ล่วงลับ และครอบครัว ซึ่งการมี “ต๊อบ-อัยยวัฒน์” ร่วมเชียร์ในเกมนี้ “รอดเจอร์ส” เชื่อว่ามันทำให้ทุกอย่างมีความหมายเป็นพิเศษ
ยิ่งการเอาชนะ “เชลชี” ก็ยิ่งมีความหมาย เพราะว่ากันว่าเบื้องหลังการซื้อเลสเตอร์ นั้นเริ่มมาจากการ “เหยียด” ที่มี “เชลชี” เป็นแรงกระตุ้นนี่เอง ...
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 ก่อนเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ รังเหย้าของเชลซี “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” พาครอบครัวเข้าไปชมเกมการแข่งขันในนัดดังกล่าว แต่มีปัญหาถูกกีดกันไม่ให้เข้าสนาม ทั้งๆ ที่จะเข้าไปชมเกมในฐานะลูกค้าของสโมสร ซึ่งสโมสรแห่งนี้ ก็ถือเป็นทีมแรกที่เขาลงเงินสนับสนุนด้วยการซื้อบอร์ดลงโฆษณา คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ในสมัยนั้น
สุดท้ายอดีตประธานสโมสรผู้ล่วงลับ ตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปชมเกมการแข่งขันในสแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกต่อไปในฐานะแฟนบอล พร้อมกับพูดประโยคเด็ดกับลูกชาย อย่าง อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ว่า “วันหนึ่งเราจะซื้อทีม แล้วเอามาสู้เชลซีให้ได้”
จากวันนั้นถึงวันนี้ “ศรีวัฒนประภา” เข้ามาดูแลเลสเตอร์ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงฝีมือในการบริหาร ทั้งความอดทนและความพยายามได้ส่งผลต่อพัฒนาการของทีมมาอย่างต่อเนื่อง
จริงๆ แล้ว ก่อนเกมเอฟเอ คัพ “เลสเตอร์” ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก มาก่อนหน้าเมื่อปี 2016 ท่ามกลางคำกล่าวที่ว่า “ปาฏิหาริย์” แต่ครั้งนั้นชาวเลสเตอร์ ก็ได้ตระหนักในผลงานของ “วิชัย และ อัยยวัฒน์” จนถือเป็นความภูมิใจของชาวเมือง
มาถึงฤดูกาลนึ้ ที่เลสเตอร์ทำผลงานดีอยู่ในท็อปโฟร์ เมื่อเร็วๆ นี้ สื่ออังกฤษยกย่องการบริหารงานของตระกูล “ศรีวัฒนประภา” ในการบริหารทีมเลสเตอร์ ซิตี ว่า บริหารงานดีที่สุด เป็นอันดับ 1 ในบรรดา 20 ทีมพรีเมียร์ลีกซีซันนี้
ความสำเร็จของเลสเตอร์วันนี้ หลายๆ คนจึงยอมรับว่า มาจากความตั้งใจจริง ทุ่มเทเอาใจใส่ให้กับกีฬาฟุตบอลของเจ้าของสโมสรอย่างครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” จากเจ้าสัววิชัย ส่งต่อมาถึง อัยยวัฒน์ อย่างเต็มภาคภูมิ ที่พิสูจน์ให้สังคมโลกเห็นแล้วว่า ชนะในเกมแล้วยังชนะใจแฟนๆ อย่างแท้จริง ที่หลายๆ ทีมในอังกฤษยากจะทำได้
ว่ากันว่า ไม่เฉพาะการบริหารที่เลสเตอร์ แม้แต่การบริหารจัดการ “คิง เพาเวอร์” ที่เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว น้อยคนที่จะรู้ว่าในช่วงที่ธุรกิจเจอพิษโควิด ไม่ได้เปิดดำเนินการตามปกติตลอดสองปีที่ผ่านมา แต่บริษัทไม่เลย์ออฟพนักงาน หรือเอาคนออก ยังคงจ่ายเงินเดือนให้ตามอัตราและหาช่องทางออนไลน์สนับสนุนพนักงานให้มีรายได้พิเศษจากค่าคอมมิชชันขายของออนไลน์อีกต่างหาก
เรียกว่า ด้วยฝีมือที่พาเลสเตอร์ ผงาดกับการแก้ปัญหาธุรกิจที่ คิง เพาเวอร์ งานนี้ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” จึงควรค่าที่จะได้รับเสียงชื่นชมจริงๆ
** “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” จากอันธพาลมาสู่คนดี “คืนคุณแผ่นดิน” ไอโอกองทัพ ลงเอยด้วยหัวหน้าขบวนการตุ๋นพันล้าน!!
จากปฏิบัติการ “ปิดเกม คนเหนือโลก” ของกองปราบ ที่บุกทลายเครือข่ายของ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” ประธานโครงการ “คืนคุณแผ่นดิน” หลังร่วมกับพวกเปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกนักลงทุนจนสูญเงินนับพันล้านบาท
ปฏิบัติการดังกล่าว เรียกว่า ช็อกวงการ เพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่สังคมช่วงหนึ่งยกย่องในคุณงามความดี การันตีด้วยรางวัลมากมาย เรื่องราวชีวิตของ “ประสิทธิ์” ถูกนำไปถ่ายทอดต่อในรายการทีวีดังอย่าง “คนต้นคน” รวมถึง “น้าแอ๊ด คาราบาว” ยืนยง โอภากุล ยังแต่งเพลง “ประสิทธิ์ผู้ให้” เพื่อเชิดชูให้ด้วย
งานนี้ การถูกกองปราบปิดเกมจึงเหมือนกับเป็นการกระชากหน้ากาก “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” ชนิดที่พลิกจากฝ่ามือเป็นหลังเท้า!!
ตามโปรไฟล์ที่ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” ซึ่งปัจจุบันอายุ 45 ปี เคยเล่าเอาไว้ว่า ตัวเองเป็นชาวกระบี่ เกิดในครอบครัวยากจน เคยเป็นอันธพาล เคยเป็นทหาร และเคยทำธุรกิจสีเทา ทั้งบ่อน ปล่อยเงินกู้ ทวงหนี้ ก่อนจะกลับใจหันมาลงทุนทำธุรกิจด้วยเงินเพียง 5 พันบาท จนกลายเป็นนักธุรกิจพันล้าน
พอทำธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ต่อมาตั้งบริษัทขยายเครือข่ายมากถึง 18 แห่ง มีรายได้ก็คืนสู่สังคม ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ “คืนคุณแผ่นดิน” ที่เขาอ้างว่าได้ไปขอคำปรึกษาจาก “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์”
ช่วงปลายปีที่แล้ว “ประสิทธิ์” เป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจาก “พรรณิการ์ วานิช” โฆษกคณะก้าวหน้า ออกมาระบุว่า เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “ปฏิบัติการไอโอ” ให้กับกองทัพ แถมยังตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทในเครือของประสิทธิ์ทั้งหมด มีความไม่ชอบมาพากล เช่น งบการเงินไม่สมเหตุสมผล โมเดลธุรกิจคล้ายการหลอกลวงต้มตุ๋น
แต่ “ประสิทธิ์” ก็ตอบโต้ด้วยการแจ้งความเอาผิด “พรรณิการ์” ข้อหาหมิ่นประมาท ที่กล่าวหาว่าเขาทำธุรกิจไม่ชอบมาพากล
เมื่อกองปราบฯจับกุมเครือข่ายประสิทธิ์ ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนโดยจับกุมได้ 4 คน ขณะที่ “ประสิทธิ์” กับ รองประธานฯ ยังหลบหนี ในขณะที่เพจของประสิทธิ์ ก็ยังมีคนเข้าไปชื่นชมศรัทธาเข้าไปให้กำลังใจ เช่นว่า “เป็นนักรบต้องมีบาดแผล”
งานนี้ “พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช” รอง ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าคณะชุดคลี่คลายคดี บอกว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเร่งสอบปากคำพยานบุคคล ผู้เสียหาย พยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะหลักฐานเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เนื่องจากคดีมีความซับซ้อนเบื้องต้นทราบว่า “ประสิทธิ์” ผู้ต้องหาคนสำคัญ หรือหัวหน้าขบวนการ ได้มีการประสานติดต่อขอเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนกองปราบ ในวันจันทร์ที่ 17 พ.ค. ก็เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหา ส่วนจะมามอบตัวจริงหรือไม่ ไม่สามารถยืนยันได้
ฟังว่าในวันที่เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดนั้น จากการตรวจค้นภายในห้องทำงานส่วนตัวของ “ประสิทธิ์” พบรูปถ่ายคู่กับข้าราชการ นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงทางสังคมเป็นจำนวนมาก จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า เขาพยายามตีสนิทขอถ่ายรูปคู่กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อนำมาใช้สร้างภาพลักษณ์ โปรไฟล์ให้ดูน่าเชื่อถือ ไว้สำหรับหลอกเหยื่อ โดยที่บุคคลเหล่านั้นอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด
เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป
** ณวัฒน์ อิสรไกรศีล หิวแสงไม่รู้จักอิ่ม โดน “สนธิ” สับ พูดวัคซีนเสิ่นเจิ้น ไม่มีความรู้ กลับเฉไฉไปอีกเรื่อง
วันก่อน “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” ผู้จัดประกวดเวทีนางงามมิสแกรนด์ ถูกรุ่นใหญ่วงการสื่ออย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตำหนิผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ว่า “หิวแสง” ไม่เข้าท่า หลังออกมา “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” วิพากษ์ “วัคซีนซิโนแวค” ของจีน ทำนองบูลลีเป็น “วัคซีนเสิ่นเจิ้น” ที่ใครอยากฉีดก็ฉีดไป โดยไม่มีองค์ความรู้ ซึ่งก็ปรากฏต่อมา “ณวัฒน์” ได้เคลื่อนไหวออกมาโต้กลับ “สนธิ” โดย “ไลฟ์สด” ผ่านเฟซบุ๊กว่า เรื่องวัคซีนตัวเองมีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ “สนธิ” นั้นพูดจาไม่นึกถึงจิตใจคนอื่น ตัวเองวิจารณ์รัฐบาล “สนธิ” จะพูดถึงรัฐบาลก็ทำไป แต่ในฐานะที่เป็นประชาชนด้วยกัน ไม่ควรมาด่ากันเอง
“ณวัฒน์” ยังเหน็บแนม โบ้ยว่า “สนธิ” เป็นผู้นำความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในประเทศ โดยตั้งคำถามว่า มันเกิดขึ้นจากอะไร คำว่า สงครามเสื้อสี สีไหนเริ่มก่อน ? ใครคือคนปิดสนามบิน? ทุกคนจำได้ว่าก่อนปิดสนามบิน เรามีความสุขกันขนาดไหน เพราะมีคนบ้าๆ บอๆ ที่ไม่ยอมรับเสียงข้างมาก ทำให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้ รวมถึง “จำลอง ศรีเมือง” ด้วย วอนขอให้ “สนธิ” เคารพให้เกียรติคนอื่น อย่าคิดว่าคนอื่นไม่ฉลาด ให้คนอื่นๆ คิดหรือทำเหมือนตัวเอง
ต้องบอกว่า “ณวัฒน์” ก็ยังเป็น “ณวัฒน์” ที่ “หิวแสง” ไม่เลิก ประเด็นที่ตัวเองพูดถึงวัคซีนจีน เป็นวัคซีนเสิ่นเจิ้นทำนองดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับไม่พูดถึง พอถูกวิจารณ์ก็พาลไปยกเรื่องความขัดแย้งของสังคมมาหาเรื่องสนธิ แบบถูไถไปเรื่อยโดยที่ความจริงไม่เอามาให้คนรู้
ขณะที่เรื่องของวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ที่ตอนนี้ประชาชนตื่นรู้และตระหนักยอมรับกันว่า เป็นหนึ่งใน “วิธี” ป้องกันตัวจากโควิด มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนจีน ก็เป็นหนึ่งในวัคซีนที่ได้มาตรฐาน พร้อมๆ วัคซีนทางเลือกที่ผลิตจากสหรัฐฯ หรือ ยุโรป
เวลาแบบนี้ องค์ความรู้เป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนควรต้องได้ข้อมูลที่ถูกต้อง การที่ “สนธิ” ทำหน้าที่สื่อให้ความรู้ ออกมาติง “ณวัฒน์” อย่าหิวแสง ด้อยค่าวัคซีนจีนโดยไม่มีองค์ความรู้ ก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้วมิใช่หรือ ??
งานนี้ ถ้าจะบอกกันตรงๆ ช่วงที่สังคมกำลังระทมทุกข์กับพิษโควิด “ณวัฒน์” ใครกันที่ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ? ณวัฒน์ ไม่ต้องดูอื่นไกล ควรที่จะไปดูคูกรณีอย่าง “แอน เจเคเอ็น” หรือ แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ไว้บ้างก็ดี
รายนี้ถูก “ณวัฒน์” ด้อยค่าไว้เยอะมิใช่หรือ แต่ “แอน” วันนี้ส่งข้าวกล่องพรีเมียม มอบไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ให้กับ บุคลากรทางการแพทย์, ผู้ป่วยโควิด ไปแล้วหลายพันกล่อง โดยตั้งใจจะบริจาคให้ได้ล้านกล่อง
นี่จึงมีคำถามเปรียบเปรยมาตามลมว่า ...แล้ว ณวัฒน์ ทำอะไรให้สังคมบ้าง? นอกจากหิวแสงไม่รู้จักอิ่ม!!