xs
xsm
sm
md
lg

“ช่อ” ได้ทีไล่บี้ “กองทัพ” ตอบปมพัวพัน “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” หัวโจกต้มตุ๋น “ลูกป๋า” ยันจากภาพ “ไม่ใช่คนสนิท”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก เคยถ่ายร่วมกับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา
อ้างผลงานยกใหญ่! “ช่อ” ได้ทีไล่บี้ “กองทัพ” ตอบปมพัวพัน “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” หัวโจกต้มตุ๋น ปชช. หลังกองปราบฯ ออกหมายจับ พบเคยเป็นคู่ปรับเก่า “โฆษก ทบ.” แจงพร้อมตรวจสอบกำลังพล “ลูกป๋า” ยันจากภาพ “ไม่ใช่คนสนิท”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์หัวข้อข่าว ‘ช่อ’ บี้ ‘กองทัพ’ อย่านิ่งเงียบเอาตัวรอด จี้ตอบปม ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ อาจารย์ทีมไอโอ

โดยเนื้อหาระบุว่า “เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ออกมาทวงถามปฏิกิริยาจากกองทัพ กรณีที่กองปราบปรามแถลงข่าวผลการสนธิกำลังจับกุมดำเนินคดีเครือข่ายต้มตุ๋นของนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก นักธุรกิจชื่อดัง ซึ่งมีผู้ถูกหลอกได้รับความเสียหายมูลค่านับพันล้านบาท ว่า

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ตนได้แถลงข่าวเปิดเผยข้อมูลที่บริษัทในเครือของนายประสิทธิ์ได้ให้หน่วยปฏิบัติการข่าวสาร หรือไอโอ เป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน และหน่วยงานอื่นๆ ของกองทัพ ใช้พื้นที่เซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ในเครือบริษัทของเขาเป็นที่ใช้สื่อสารกันของแอปพลิเคชันเครือข่ายไอโอ ที่มีกำลังพลในกองทัพจำนวนนับร้อยนับพันนายปฏิบัติงานอยู่ในนั้น เพื่อด้อยค่าประชาชนคนไทยด้วยกันเอง

น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ตนยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงบริษัทในเครือธุรกิจทั้งหมดของนายประสิทธิ์ที่ชื่อว่า M Group ว่า พบความไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องงบการเงินที่ไม่สมเหตุสมผล ทั้งเรื่องโมเดลธุรกิจต่างๆ จนทำให้น่าเชื่อว่านี่คือการหลอกหลวงต้มตุ๋นครั้งใหญ่ และไม่สมควรที่กองทัพจะให้บุคคลเช่นนี้มาอบรมเจ้าหน้าที่กองทัพ และร่วมมือกับกองทัพ ไม่ว่าจะในกิจการใด

ผลของการแถลงข่าวดังกล่าว นอกจากจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากกองทัพ ไม่มีการตอบคำถามเรื่องไอโอ นอกจากการปฏิเสธแบบยืนกระต่ายขาเดียว นายประสิทธิ์ยังได้เดินทางไปกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแจ้งความเอาผิดต่อนางสาวพรรณิการ์และคณะก้าวหน้า ว่า “พาดพิง ไม่มีข้อเท็จจริง” หมิ่นประมาทกรณีกล่าวหาว่าเขาทำธุรกิจไม่ชอบมาพากล

“เวลากลายเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งแล้ว ถึงความถูกต้องของข้อมูลที่คณะก้าวหน้าเปิดเผยก่อนหน้านี้มาครึ่งปีเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของประสิทธิ์ เจียวก๊ก แม้เราจะถูกปิดปากด้วยคดีความ ถูกข่มขู่และดิสเครดิตต่างๆ นานาจากกลุ่มประสิทธิ์ ถูกไอโอโจมตีด้อยค่า เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลประเด็นวัคซีนของคุณธนาธร ซึ่งทำให้คนพูดโดนคดี 112 โดนโจมตีว่าเป็นพวกชังชาติ ล้มสถาบัน ทั้งที่เมื่อเวลาผ่านไป ปรากฏว่าข้อมูลและการคาดการณ์ต่างๆ ล้วนกลายเป็นจริง ประเทศนี้คดีความและการถูกด้อยค่า คือราคาที่คนพูดความจริงต้องจ่าย” น.ส.พรรณิการ์กล่าว

น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า กองทัพไม่สามารถนิ่งเงียบเพื่อเอาตัวรอดได้ในทุกเรื่อง ครั้งนี้ขอให้มีจิตสำนึกของความเป็นหน่วยงานรัฐที่ทำงานบนภาษีประชาชน ออกมาชี้แจงที่มาที่ไปของการร่วมงานกับนายประสิทธิ์ ทั้งที่เป็นผู้ที่มีภูมิหลังทางธุรกิจไม่โปร่งใส และที่สำคัญที่สุด ประชาชนอยากทราบว่า เมื่อเครือข่ายประสิทธิ์ถูกจับกุมทำลายไปแล้ว กองทัพยังสานต่อภารกิจไอโอจิตอาสาต่อไปหรือไม่ และดำเนินการโดยใคร

“เรามีข้อมูลว่า ปฏิบัติการไอโอยังดำเนินอยู่ และขยายวงครอบคลุมหลายหน่วยของกองทัพมากขึ้น รวมถึงมีเอกชนเข้ามาร่วมมือ ประสิทธิ์ถูกออกหมายจับ ไม่ได้แปลว่าปฏิบัติการจะหยุดชะงัก ถ้ากองทัพยังไม่หยุดพฤติกรรมสร้างความเกลียดชังบนภาษีประชาชน เราก็จะไม่หยุดตามสืบข้อมูลต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้รู้เท่าทันขบวนการไอโอ” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
https://www.matichon.co.th/politics/news_2724820

ภาพ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 64 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วันนี้ ที่กองบังคับการปราบปราม ตำรวจร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 9 จุด ทั้งใน กทม.และปริมณฑล เพื่อจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายบริษัทชื่อดังที่หลอกลวงนักลงทุน สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย คือ พ.ท.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข ประธานโครงการ “เที่ยวเพื่อชาติ” ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม อายุ 33 ปี สิริมา เนาวรัตน์ อายุ 37 ปี และ กิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ อายุ 40 ปี ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”

รายงานข่าวระบุด้วยว่า สำหรับผู้ต้องหาเครือข่ายดังกล่าวที่ยังอยู่ระหว่างการหลบหนีอีก 2 ราย คือ ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการ “คืนคุณแผ่นดิน” ทำหน้าที่เปรียบเหมือนตัวการใหญ่ หรือหัวหน้าขบวนการ และ กิตติศักดิ์ เย็นนานนทน์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังคงกระจายกำลังลงพื้นที่หาเบาะแสของผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่ายังคงอยู่ภายในประเทศ

นอกจากนี้ก็จะเร่งตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของเครือข่ายดังกล่าว เพื่อตามยึดทรัพย์แล้วนำเข้าสู่กระบวนการชดใช้เยียวยาต่อผู้เสียหาย ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 รายที่ถูกจับกุมนั้น จากการสอบสวนทั้งหมดยังคงให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ และส่งตัวไปดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้ต้องหาเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ร่วมกันตั้งบริษัทขึ้นมาหลายแห่งในลักษณะเครือข่ายใหญ่ ก่อนหลอกชักชวนให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักลงทุนนำเงินมาร่วมลงทุนในหลายรูปแบบ อ้างจะได้รับผลตอบแทนสูง โดยช่วงแรกจะทำทีจ่ายเงินค่าตอบแทนจริง เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายตายใจนำเงินมาลงทุนเพิ่ม จากนั้นจะเริ่มบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงินค่าตอบแทนหรือคืนเงินลงทุนให้แก่ผู้เสียหายตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะขาดหายการติดต่อไปในที่สุด ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อนับพันราย มูลค่าความเสียหายกว่าพันล้านบาท ซึ่งมีการรวมตัวเข้าแจ้งความไว้ที่ บก.ปอศ.

พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ด้วยความที่มีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก รวมถึงมูลค่าความเสียหายที่ค่อนข้างสูง ทาง บช.ก.ได้สั่งให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะทำงาน ประกอบด้วย บก.ป. บก.ปอศ. และ บก.ปอท. เพื่อเร่งติดตามจับกุมจนมีการออกหมายจับผู้ต้องหา 6 คน พร้อมกับเปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายที่นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คนนี้ และตรวจยึดเอกสารหลักฐานต่างๆ ได้อีกจำนวนมาก ซึ่งคงเหลือผู้ต้องหาอีกเพียง 2 คนที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี จึงอยากฝากถึงผู้ต้องหาที่เหลือว่า หากมั่นใจว่าไม่ผิดก็ขอให้เข้ามามอบตัว เจ้าหน้าที่พร้อมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ขอให้ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน

“สำหรับกรณีที่ปรากฏภาพของนักการเมืองระดับประเทศไปร่วมงานเปิดตัวบริษัทในเครือของกลุ่มผู้ต้องหา จะต้องถูกเชิญตัวมาสอบสวนหรือไม่นั้น ในส่วนนี้ยังไม่สามารถบอกได้เนื่องจากต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าจะมีความเกี่ยวข้องหรือไม่” ผบก.ป.กล่าว

พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส ผกก.4 บก.ปอศ. เปิดเผยพฤติกรรมการหลอกลวงของกลุ่มผู้ต้องหาว่ามีด้วยกัน 5 รูปแบบ ประกอบด้วย 1. เปิดบริษัทท่องเที่ยว ชักชวนผู้เสียหายซื้อแพกเกจทัวร์ แต่ไม่มีการจัดท่องเที่ยวจริง 2. ชวนนำเงินมาร่วมลงทุนในรูปแบบสหกรณ์ อ้างให้ปันผลสูง แต่สุดท้ายก็ไม่มีปันผล 3. ชักชวนลงทุนซื้อ ขายสินค้าแบรนด์เนมออนไลน์ จากทางบริษัทในเครือผู้ต้องหา แล้วปล่อยเช่า ซึ่งทางกลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าจะเป็นผู้ควบคุมบริหารจัดการค่าตอบแทนให้ทั้งหมดโดยที่ผู้เสียหายไม่เคยพบเห็นหรือจับต้องตัวสินค้าจริงๆ แต่อย่างใด

4. ชักชวนให้นำเงินสดหรือทองคำมาเข้าร่วมในระบบกองทุนส่วนตัวของกลุ่มผู้ต้องหา โดยอ้างว่า ในทุก 21 วันจะได้รับเงินตอบแทนกลับคืนคิดเป็นร้อย 9.5 ของเงินลงทุน และ 5. ชักชวนให้ลงทุนซื้อทองคำจากร้านจำหน่ายทองคำทั่วไป แล้วนำทองคำพร้อมใบเสร็จมาลงทุนตามโปรโมชันของบริษัทฯ โดยยอดการลงทุนคำนวณจากราคาทองคำตามที่ระบุในใบเสร็จ ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับผลกำไรตอบแทนร้อยละ 43.5 ของเงินลงทุน โดยจะแบ่งจ่ายกำไรเป็น 2 งวด พร้อมกับแบ่งจ่ายคืนเงินต้นเป็นงวดๆ รวม 10 งวด

ภาพ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก จากแฟ้ม
สำหรับ ประสิทธิ์ เคยมีข้อพิพาทกับ พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ แกนนำคณะก้าวหน้า หลังถูกพรรณิการ์ ออกมาเปิดโปงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกองทัพไอโอ หรือปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพ และให้กองทัพใช้เซิร์ฟเวอร์ฟรี จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในรายการ "ถามตรงๆ กับจอมขวัญ" ได้เปิดอกโชว์รอยสักที่มีข้อความ "ทรงพระเจริญ" ยืนยันว่า หากเป็นไอโอจริง ก็เป็นไอโอดี อีกทั้งยังท้าพรรณิการ์สาบานต่อหน้าพระนเรศวรด้วย

รวมทั้งจากการสืบค้นยังพบวิดีโอคลิปที่เผยแพร่ทางช่อง "Sawadee" เผยแพร่เมื่อ 22 ก.ค. 62 ระบุด้วยว่า เนื้อร้อง ทำนอง โดย แอ๊ด คาราบาว ซึ่งมีข้อความในเนื้อเพลงด้วยว่า "ประธานประสิทธิ์ เจียวก๊กที่เรารัก คือผู้มากทั้งความดีและทรัพย์สิน ชื่อเสียงบารมีที่พวกเราได้ยิน ติดปีกโบยบินสู่โลกสากลยังภาคภูมิ ชื่อเสียงบารมีที่พวกเราได้ยิน ติดปีกโบยบินสู่โลกสากลตลอดกาล"...(ข่าวจาก ประชาไท)

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา ยังโพสต์ข่าวที่โฆษกกองทัพบกชี้แจง รวมทั้งคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ออกมาชี้แจงกรณีนายประสิทธิ์เคยถ่ายภาพร่วมกับ “ป๋าเปรม” ด้วย

โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เรื่องการไอโอของกองทัพนั้นเคยมีการชี้แจงไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่มีการร้องเรียนว่าอาจมีกำลังพลของกองทัพ เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจในขบวนการของนายประสิทธิ์นั้น ทางกองทัพบกกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร แต่ถ้าพบว่ามีกำลังพลเข้าไปเกี่ยวข้องก็พร้อมดำเนินการทันที

ด้านแหล่งข่าวนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดเผยถึงกรณีที่มีภาพถ่ายของนายประสิทธิ์ ถ่ายภาพร่วมกับ พล.อ.เปรม ว่า ปกติในวันสำคัญต่างๆ ของ พล.อ.เปรม เช่น วันครบรอบเกิด วันขึ้นปีใหม่ หรือช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ พล.อ.เปรมจะเปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ให้นายกฯ คณะรัฐมนตรี นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ลูกๆ ทหารม้า ตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาอวยพรได้ตามปกติ โดยยืนยันว่า พล.อ.เปรมไม่ได้มีความสนิทสนมส่วนตัวกับนายประสิทธิ์ แต่อย่างใด
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6399540

ภาพ อาจารย์ วิโรจน์ อาลี จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อาจารย์ วิโรจน์ อาลี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า

“รู้ทันโทนี่
รู้ทันธนาธร
รู้ทันควายแดง
รู้ทันสามกีบ
รู้ทันทุกคนบนโลก
แต่ยกเว้น "ประสิทธิ เจียวก๊ก" อะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
https://twitter.com/virotalti/status/1393408961286606850?s=19

แน่นอน, นี่คือกระแสด้านลบที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกองทัพปฏิเสธไม่ได้ และเป็นความบกพร่องที่ไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียดในการทำงานร่วมกับเอกชน จนนำมาสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวในที่สุด

และถือว่า “เกม” มาเข้าทางฝ่ายตรงข้าม อย่าง “คณะก้าวหน้า” เต็มๆ โดยเฉพาะ “ช่อ” พรรณิการ์ ถือว่าเคลมผลงานได้อย่างเต็มที่

ที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่ใช่เล็กน้อย เพราะเกิดขึ้นท่ามกลาง ศึกรอบด้านที่รุมถล่มรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ขบวนการ 3 นิ้ว ที่ยังคงกัดไม่ปล่อยเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน ขับไล่ “ประยุทธ์” และองคาพยพ

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ หรือ “ม็อบหลากสี” ที่ปักหลักขับไล่ “ลุงตู่” ไม่เกี่ยวกับสถาบันฯ อย่างร้อนแรง และล่าสุด มีกลุ่มประชาชนไทยนัดยื่นหนังสือให้พล.อ.ประยุทธ์ เสียสละลาออกเพื่อตั้งนายกฯ คนใหม่มาแก้ปัญหาโควิด-19 รวมถึงปกป้องสถาบันฯ อย่างจริงจัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดและจริงจังจริงใจก็คือ การไม่ปกป้องกำลังพลกองทัพบก หรือนักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้องในการทำผิด ไม่ว่าใครก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ถ้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ จากภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนสีเทา ก็จะค่อยๆ กลายเป็นสีขาวขึ้นมาได้

เหนืออื่นใด สิ่งที่หลายคนวิเคราะห์เอาไว้ ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น นั่นคือ ไม่มีใครล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้ ไม่ว่าช่องทางไหน ยกเว้นแต่ “สะดุดขาตัวเอง” ดังนั้น ก็อยู่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินสะดุดขาตัวเองในเรื่องนี้หรือไม่ เท่านั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น