เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องก้มหน้ารับด้วยความเศร้าและหวาดวิตก สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังหนักหนาสาหัส และยังไม่มีแนวโน้มจะลดลง หรือควบคุมได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเฉพาะภายในเดือนนี้ตามที่คาดการณ์เอาไว้แต่เดิม เพราะจากรายงานจะพบว่าเกิด“คลัสเตอร์”หรือที่มีการระบาดในแบบกลุ่มผุดขึ้นมาที่นั่นที่นี่ตลอดเวลาเป็นรายวัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ล่าสุดวันที่ 13 พฤษภาคม จากการแถลงของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4,887 ราย โดยแบ่งเป็นติดเชื้อใหม่ 2,052 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 2,835 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 93,794 ราย รักษาหายป่วยเพิ่ม 1,572 ราย สะสม 60,615 ราย กำลังรักษาอยู่ 30,661 ราย แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 20,451 ราย และโรงพยาบาลสนาม 12,210 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก เพิ่มเป็น 1,209 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 406 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย รวมเสียชีวิต 518 คน
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 4,887 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 1,439 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 597 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 2,835 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ16 ราย
โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 32 ราย เป็นชาย 26 ราย หญิง 6 ราย อยู่ใน กทม. 17 ราย นครราชสีมา 3 ราย ปทุมธานี เชียงใหม่ จังหวัดละ 2 ราย สุรินทร์ สระบุรี นครปฐม พะเยา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี เพชรบุรีภูเก็ต จังหวัดละ 1 ราย
สำหรับการพบผู้ป่วยในวันนี้ จะเห็นว่า มีส่วนของการค้นหาผู้ป่วยในเรือนจำเพิ่มเติมเข้ามา จากการค้นหาเชิงรุกปกติ ทำให้ยอดสูงโด่ง ส่วนการพบผู้ป่วยจากต่างประเทศ ยังคงมีพบการลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติอยู่ จากทางลาว กัมพูชา ขอย้ำประชาชน เป็นหูเป็นตาพบผู้ลักลอบเข้าประเทศ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่
10 อันดับ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ วันที่ 13 พ.ค.64 คือ 1. กรุงเทพฯ 1,069 ราย 2. สมุทรปราการ 194 ราย 3. ปทุมธานี 105 ราย 4. นนทบุรี 78 ราย 5. สุราษฎร์ธานี 73 ราย 6. สมุทรสาคร 57 ราย 7. ชลบุรี 56 ราย 8. ประจวบคีรีขันธ์ 41 ราย 9. พระนครศรีอยุธยา 39 ราย 10. ระยอง 30 ราย
เอาเป็นว่า ยอดตัวเลขทั้งผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิต ถือว่า“สูงโด่ง”ขึ้นมาแบบทำลายสถิติ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่พุ่งขึ้นมาวันเดียวถึง 4,887 ราย แม้จะบอกว่าเป็นบวกมาจากการคัดกรองเชิงรุก ในกลุ่มผู้ติดเชื้อจากในเรือนจำก็ตาม แต่หากแยกเฉพาะผู้ติดเชื้อใหม่ภายในประเทศ ก็ยังมีจำนวน “หลักสองพันคน”คือ 2,052 คน ก็ยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยค่อนข้างสูงอยู่ดี
แต่อย่างไรก็ดี ในภาพรวมตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุก็คืออยู่ในระดับ “ทรงตัว”หรือ “คงตัว”ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้เล็กๆ แต่ก็อย่างว่าด้วยลักษณะการระบาดที่เป็น“กลุ่ม”ในพื้นที่ใหม่ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะใน “ครอบครัว”ที่ควบคุมยาก อีกทั้งคราวนี้ยังเป็น“เชื้อกลายพันธุ์”ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่ลดดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เชื่อว่า“วัคซีน”คือ “ความหวัง”ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะทำให้บ้านเมืองของเราได้กลับมาใช้ชีวิตเกือบปกติ สามารถไปมาหาสู่ ทำมาค้าขายได้คล่องตัวมากขึ้น เศรษฐกิจก็มีโอกาสเติบโต
แต่ก็นั่นแหละในประเทศ ในทุกสังคมมันก็ยังมีคนดี คนไม่ดี ประเภทไม่ช่วยเหลือแล้วยังเอาเท้าราน้ำ คอยขัดขวาง ขัดคอทุกทาง ส่วนจะเป็นใคร กลุ่มไหนเชื่อว่าทุกคนคงรับรู้กันอยู่ ไม่ต้องสาธยายมาก
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในภาวะวิกกฤตเดือดร้อนแบบนี้ หากมองกันในมุมบวกมันก็สามารถได้ “คัดกรอง” คนหากในระดับผู้บริหารหรือ รัฐบาลก็ได้เห็นฝีมือของผู้นำ รัฐมนตรีว่ามีใครบ้างที่สามารถบริหารในสถานการณ์ไม่ปกติได้อย่างไรบ้าง ในระดับข้าราชการ ที่ในที่นี้ต้องโฟกัสไปที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รวมไปถึงในกรุงเทพฯ ด้วยว่าทำได้ดีหรือไม่
อย่างที่รับรู้กันในเวลานี้ก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร หรือที่รู้จักกันในนาม“ผู้ว่าฯหมูป่า”ที่มีวิธีการบริหารจัดการแนวใหม่ สามารถบูรณาการจัดการได้อย่างดี มีการจัดการเชิงรุกจนสามารถทำให้ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 ประเภท ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบจำนวนประชากร จนได้รับคำชมเชยจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และยกเป็น“ลำปางโมเดล”
อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนตบหน้าการบริหารงาน ของผู้ว่าราชการจังหวัดอีกหลายจังหวัด โดยเฉพาะในระดับผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ที่แทบจะไม่มี“แอ็กชั่น”ที่โดดเด่นอะไรมากนัก ทั้งที่เป็นหน่วยงานหลัก ไม่แพ้กระทรวงสาธารณสุข
เพราะหากให้ทำนายกันล่วงหน้าในช่วงที่เกิดมหกรรมฉีดวัคซีนที่ประดังเข้ามาในเดือนหน้า หากไม่เตรียมความพร้อมให้ดีก็จะเกิดความวุ่นวายตามมาอีก เพราะเมื่อดูจากแนวโน้มแล้วคนจะแย่งกันไปฉีดมากกว่าไม่กล้าฉีด หรือเกี่ยงยี่ห้อวัคซีนแล้ว จากข้อมูลที่ยืนยันว่า“ฉีดดีกว่าไม่ฉีด”
แต่การทำงานในหลายจังหวัดเท่าที่เห็นยังไม่ต่างจากยุคโบราณ ในแบบ“ข้าราชการไปเช้าเย็นกลับ”มันถึงได้บอกว่า“ในภาวะวิกฤต” มันก็จะได้เห็น“คนเก่ง”และ “คนห่วย”ออกมาให้เห็น ขณะเดียวกันมันก็กระตุ้นให้คนห่วยได้เร่งทำงาน เพราะหากไม่ทำอะไร หรือยังทำงานแบบเดิมๆก็ต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือไม่เช่นนั้นประชาชนก็จะลงมือเขี่ยออกไปเอง !!