xs
xsm
sm
md
lg

“ย้ายประเทศกันเถอะ” สะท้อนภาพรัฐบาลล้มเหลว? “ลุงตู่” น่าเก็บไปคิดมากกว่าปล่อย “สิระ” ไล่คนเห็นต่าง ** พปชร.ฟัน “สามารถ” ปลดทุกตำแหน่ง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับพรรค เซ่นปมส่งลูกน้องสอบแทน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - สิระ เจนจาคะ - สมศักดิ์ เทพสุทิน - สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ดรามา “ย้ายประเทศกันเถอะ” สะท้อนภาพรัฐบาลล้มเหลวทำประเทศน่าอยู่? “ลุงตู่” น่าเก็บไปคิดมากกว่าปล่อย “สิระ” ออกมาไล่คนเห็นต่าง

กลายเป็นกระแสร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อมีชาวโซเซียลฯ สนใจรวมกลุ่มกันแชร์ความเห็นและประสบการณ์ในการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศในเฟซบุ๊ก ภายใต้ชื่อกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” ว่ากันว่าหลังจัดตั้งมาตั้งแต่วันที่1 พ.ค.แค่สองสามวันที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีคนสนใจเข้าร่วมมากกว่า 5.5 แสนคน และคาดว่าคงจะขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

สำหรับเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” เนื้อหาส่วนใหญ่เห็นว่า สมาชิกพูดกันถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อไปอยู่ในต่างประเทศ ทั้งเรื่องการเตรียมเอกสารขอวีซ่า การเรียนภาษา เพื่อไปเรียน ไปทำงาน ไปจนถึงการไปถาวรเพื่อลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวในต่างประเทศ

ใครที่มีประสบการณ์ก็มาแชร์กัน แลกเปลี่ยนข้อมูลจากที่เคยอาศัยในต่างประเทศ พูดถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละประเทศ ความประทับใจในแต่ละประเทศ บางคนก็แสดงความเห็นในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ของแต่ละประเทศ

ว่ากันว่า สมาชิกกลุ่มยังคอมเมนต์เกี่ยวกับแนวคิดอยากย้ายประเทศซึ่งพบว่าแต่ละคนในกลุ่มต่างก็มีเหตุผลหลากหลาย เช่น ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำ รัฐสวัสดิการไม่ดีเมื่อเทียบกับในหลายประเทศ ไม่พอใจการบริหารจัดการการแก้ปัญหาโควิด-19 ถือเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล ไปจนถึงอยากลี้ภัยทางการเมือง

ความฮอตฮิตของกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” ยังทำให้มีกลุ่มอื่นๆ เกิดมาในลักษณะเดียวกันแตกแยกย่อยออกมาตามอย่าง เช่น “กลุ่มหมอก็อยากย้ายประเทศ” พร้อมๆ กับตั้งทีมประเทศนั้นประเทศนี้ แนะนำประเทศปลายทางที่คิดกันว่าดี แม้แต่สถานทูตสวีเดนก็โดดมาร่วมโหนกระแสไวรัลนี้ โดยเสนอเป็นประเทศทางเลือกหากคนไทยคิดจะย้ายประเทศ

ท่ามกลางความมืดมนของสถานการณ์โควิด และผิดหวังต่อรัฐบาล ก็ไม่น่าแปลกใจที่ไวรัล แฮชแท็ก # ย้ายประเทศกันเถอะจะกลายเป็นดรามาในเวลาต่อมา

ต้องยอมรับกว่า ดรามาดังทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็น บ้างก็ดึงไปเรื่องการเมือง ระหว่าง “สามนิ้ว กับสลิ่ม” แต่หลายๆ คนบอกว่านี่เป็นภาพสะท้อนที่พลเมืองไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ส่งสัญญาณตรงถึงฝ่ายปกครอง ไม่ใช่เรื่องที่มองข้าม เพราะคนจำนวนกว่าครึ่งล้านที่แสดงออกในเพจ “ย้ายประเทศกันเถอะ” ไม่ใช่ไม่รักประเทศ แต่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ไปที่ไหนก็ได้ที่ดีกว่าประเทศไทย ในเมื่อผู้นำประเทศในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าประเทศน่าอยู่ ก็เป็นสิทธิที่พวกเขาจะแสดงออกตามกฎหมายที่พึงใช้สิทธิ

ว่าไปแล้ว ถ้าคิดกันเยอะๆ มีสติกับเรื่องนี้ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่แต่ละคนจะเลือกดำเนินชีวิตของตนเอง สมัยรุ่นปู่ย่าตายาย หรือปัจจุบันก็มีการอพยพถิ่นฐานกันเป็นปกติ เพื่ออนาคตทั้งการเรียน การทำงาน หรือครอบครัว

แต่พอเรื่องนี้กลายเป็นกระแสที่สังคมพูดกันเป็นวงกว้าง และแน่นอนว่า “รัฐบาลลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังตกเป็นจำเลยสังคมจึงมีองครักษ์พิทักษ์ลุงอย่าง “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ออกมาโต้ตอบปรากฏการณ์ย้ายประเทศกันเถอะนี้ว่า “ใครอยากย้ายก็ย้ายไป มองว่าทุกประเทศมีปัญหาแบบเดียวกันหมด คนที่บอกว่าอยากย้ายประเทศมีปัญญาย้ายไปหรือไม่ มีความรู้หรือไม่”

“สิระ” ยังมองว่าสมาชิกบางส่วนในกลุ่มนี้ คือผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาล คนกลุ่มนี้อาจไม่ได้ย้ายประเทศ แต่ต้องย้ายไปอยู่ในเรือนจำแทน เพราะการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมาย

เรื่องนี้ จริงๆ แล้วรัฐบาลลุงน่าจะเก็บเอาไปคิดว่ากระแสย้ายประเทศกันเถอะนั้นบ่งบอกถึงอะไร มีอะไรตรงไหนที่รัฐบาลทำหน้าที่ผลงานขาดตกบกพร่อง และนำไปแก้ไขให้ประเทศน่าอยู่ตามที่สังคมคาดหวัง

การที่ปล่อย “สิระ” แกว่งปากหาเรื่อง ปากดีพูดจาประชดประชันประชาชน ไม่ใช่เรื่องน่าทำ กลับยิ่งทำให้สังคมมองคุณภาพของรัฐบาลต่ำลงไปอีก

“ลุงตู่-ลุงป้อม” น่าจะปรามๆ “สิระ” บ้าง หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็ทำนองนี้ แกว่งปากไปเรื่อย ปล่อยกันมาตลอด ใครเห็นต่างก็ออกมาด่า ออกมาตอบโต้ มองเป็นเรื่องการเมืองไปหมด

ต้องไม่ลืมว่า เวลานี้ประเทศและประชาชนต่างทุกข์ระทมกับโควิดระบาด เศรษฐกิจและสังคมเดือดร้อนกันอย่างหนัก สิ่งที่คนอยากเห็นย่อมเป็นผลงาน และการแก้ปัญหาที่ช่วยเหลือสังคมได้จริงๆ

ปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ประชาชนไม่มีทางออก ไม่มีที่ระบาย เชื่อได้เลยว่า ยิ่งจะเพิ่มปริมาณคนอยาก #ย้ายประเทศกันเถอะ กันเยอะขึ้นๆ



** พปชร.ฟัน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ปลดทุกตำแหน่ง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับพรรค เซ่นปมส่งลูกน้องสอบแทน

คงจำกันได้ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จู่ๆก็มีข่าวว่า มีข้าราชการการเมืองสังกัดกระทรวงยุติธรรม ชื่อย่อ “ส.” ส่งคนไปสอบในการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ระดับปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งแทน และถูกจับได้ไล่ทัน ถูกตัดสิทธิการเรียนไปแล้ว

ด้วยเหตุที่ชื่อย่อ “ส.” และอยู่กระทรวงยุติธรรม ทำเอา “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม ต้องรีบออกมาชี้แจงว่าไม่ใช่ตนเอง เพราะไม่ได้เรียนปริญญาเอก พร้อมชี้เป้าไปที่ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ว่าน่าจะเป็นบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงในข่าว ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าที่มีข่าวออกมาช่วงนี้น่าจะมีเบื้องหลังเบื้องลึกภายในพรรค เพราะพลังประชารัฐกำลังจะมีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ในวันที่ 18 เม.ย. ก่อนจะถูกเลื่อนออกไปเมื่อโควิดระบาด

เรื่องนี้ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” รับว่าตนเองไปเรียนหลักสูตรดังกล่าวจริง แต่ยืนยันการันตีว่าไม่เคยให้ใครไปเรียนแทน ไปสอบแทน เวลาเรียนก็เป็นวันศุกร์กลางคืน และวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้เบียดบังเวลาราชการ ส่วนวิชาภาษาอังกฤษก็ได้เกรดบีบวก ดังนั้น ข่าวที่ออกมาเป็นเรื่องหวังผลทางการเมืองอย่างแน่นอน ... แถมยังตั้ง “สินบน” ว่าถ้าใครสามารถให้ข้อมูลจนนำไปสู่การฟ้องร้องผู้ที่ปูดข่าวนี้ต่อสื่อ จะจ่าย 2 แสนบาททันที

ขณะที่ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.ร่วมพรรค ซึ่งสวมหมวกประธาน กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาร่วมกระพือว่าจะเชิญ “สามารถ” มาชี้แจง จะตรวจสอบการติดต่อทางโทรศัพท์ด้วยว่า มีการสั่งการให้คนไปเรียน ไปสอบแทนจริงหรือไม่

เมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาว อย่างนี้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค จึงตั้งคณะกรรมการสอบเพื่อเคลียร์ปัญหา โดยให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นประธานฯ ซึ่งล่าสุดผลสอบก็ออกมาแล้ว โดยคณะกรรการสอบเสนอให้ปลดออกจากทุกตำแหน่งในพรรค ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตำแหน่ง ผอ.ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของพรรค คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล คณะกรรมาธิการ หรือในคณะอนุกรรมาธิการ รวมถึงไม่ให้ใช้สัญลักษณ์ของพรรคในทุกกรณี หลังผลสอบออกมา “สามารถ” ยอมลาออกจากทุกตำแหน่งแต่โดยดี

“สามารถ” เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 48 ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ไปไม่ถึงฝัน ไม่ได้เป็น ส.ส. อาศัยที่เป็นคนใกล้ชิด “พีระศักดิ์ พอจิต” อดีตรองประธาน สนช. ซึ่งปัจจุบันเป็น ส.ว. จึงได้รับการฝากฝังให้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ช่วยดูแล และก็เป็นที่มาของตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง ส.ส.ในพรรคหลายคนมองว่า ได้ตำแหน่งนี้มาแบบ “ค้านสายตา” เพราะช่วงหาเสียงเลือกตั้งก็ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นอะไร

แถมเมื่อมีตำแหน่งก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงการทำงานในกระทรวงยุติธรรม ที่มักใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดข่มข้าราชการ ตลอดจนข่าวในเชิงหาผลประโยชน์

นอกจากนี้ ยังเป็นนักการเมืองที่ออกแนว “หิวแสง” มักแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่ากับพวกม็อบสามนิ้ว หรือพรรคก้าวไกล โดยหวังให้เป็นข่าวเข้าตา “ลุงป้อม” จนโดน “ทัวร์ลง” ไปหลายครั้ง ที่หนักๆ ก็อย่างเช่น ออกมาเหน็บแนมม็อบเยาวชนว่าอยากช่วยประเทศ แต่ไม่มีใครช่วยแม่ล้างจาน หรือกรณีข่าวดัง “พริตตี้ ลัลลาเบล” ที่เสียชีวิตในงานปาร์ตี้ ก็ให้ข่าวว่าลัลลาเบลมาเข้าฝัน

ถึงวันนี้ “สามารถ” ต้องพ้นจากทุกตำแหน่ง และห้ามยุ่งเกี่ยวกับพรรคอีก ก็เป็นอันว่าต้อง “จบชีวิตการเมือง” กับพรรคพลังประชารัฐไปโดยปริยาย



กำลังโหลดความคิดเห็น