“อัษฎางค์” ซัดเจ็บ ระบอบธนาบุตรธิปไตย “ดร.อานนท์” โต้ “ทอน” ดีใจที่ฟ้องเรียก 24 ล้าน จะได้เรียกพยานปรปักษ์และเอกสารอีกมากมายตรวจสอบ “ณัฐวุฒิ” โผล่เวทีเสื้อแดง เรียกร้องปล่อยเพื่อนเรา “จตุพร” ยืนยันไม่มีถอย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 เม.ย. 64) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ก้าวหน้าก้าวหลัง กับระบอบธนาบุตรธิปไตย”
โดยระบุว่า ระบอบธนาบุตรธิปไตย คือ สิ่งที่ท่านผู้นำและเพื่อนคิดและทำเท่านั้นที่ถูกต้อง ส่วนสิ่งที่คนอื่นคิดและทำไม่ว่าเหมือนหรือต่างจากสิ่งที่ท่านผู้นำและเพื่อนทำ ย่อมถือเป็นสิ่งที่ผิด
ขณะเดียวกัน จากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการวิเคราะห์ธุรกิจและวิทยาการข้อมูลคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 โดยเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 ล้านบาท
โดยคำฟ้องของ นายธนาธร สรุปได้ว่า จำเลยใช้บัญชี เฟซบุ๊กชื่อ Arnond Sakworawich มีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 74,000 คน เมื่อวันที่ 5 มี.ค.เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า
“รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติลงนามรับรู้แต่ก็ยังซื้อขายมาเป็นของตนเอง นี่จงใจทำผิดกฎหมายโดยเจตนาเลย คดีนี้ควรต้องเข้าคุกนะครับ ทำผิดโดยเจตนาตั้งใจโกงที่แผ่นดิน มาเป็นสมบัติส่วนตัว ถือเป็นการโกงชาติ คนโกงชาติคนโกงแผ่นดินขนาดนี้เหรอครับ ที่จะบอกว่าให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปตัวเองไม่ให้โกงชาติโกงแผ่นดินเสียก่อนเถิด”
ภายหลังยื่นฟ้อง ศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบเป็นคดีหมายเลขดำ อ.077/2564 เพื่อไต่สวนมูลฟ้องว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ต่อไป
ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
“ต้องบอกเลยว่า ดีใจที่มาฟ้องเพราะเป็นโอกาสที่ธนาธรจะต้องไปแถลงต่อศาลว่า ตัวเองไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น.55555555.ผมจะได้เรียกพยานปรปักษ์และเอกสารอีกมากมายมาใช้ตรวจสอบคุณต่อ
คุณทำตัวเป็นบุคคลสาธารณะ ก็ต้องถูกตรวจสอบได้ คุณอาสามารับใช้ประชาชน ประชาชนก็ย่อมต้องตรวจสอบคุณ แต่คุณในฐานะผู้แทนประชาชน คุณยังอยากจะตรวจสอบพระเจ้าแผ่นดินเลย
ทำไมผมจะตรวจสอบคุณไม่ได้ 55555555”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 10 เม.ย. 64 มีรายงาข่าวว่า บริเวณข้างร้านอาหารแมคโดนัลด์ สาขาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทางกลุ่มมวลชนเสื้อแดงญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 โดยมีรูปของผู้เสียชีวิต 4 คน คือ นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ นายเยื้อน โพธิ์ทองคำ นายทศชัย เมฆงามฟ้า และนายไพรศล ทิพย์ลม โดยมีพระจำนวน 6 รูป รับถวายภัตตาหารเพล อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมบริเวณดังกล่าว จะไปร่วมกิจกรรมรำลึกและสดุดีวีรชน 11 ปี 10 เมษา 53 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เวลา 13.00 น. ต่อไป
ต่อมานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแนวร่วม นปช.ขึ้นเวทีปราศรัย ทบทวนประวัติศาสตร์การต่อสู้คนคนเสื้อแดง ทั้งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแกนนำผู้ชุมนุมที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้
“ขอบอกคนหนุ่มสาวที่กำลังต่อสู้ทุกคน ว่า ในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว ที่น้องๆ สร้างอนุสาวรีย์พวกเขาให้เกิดขึ้นในหัวใจทุกคน หากดวงวิญญาณยังคงมีพลัง มีเรี่ยวแรง สู้ไหว ขอพลังครั้งสุดท้ายปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้ปลอดภัยจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าให้ทำกับลูกหลานเหมือนที่ทำกับเรา เมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ช่วยกันกดดัน ให้ปล่อยเยาวชนออกมาให้เร็วที่สุด” นายณัฐวุฒิ กล่าว โดยประชาชนเปล่งเสียง “ปล่อยเพื่อนเรา” ดังก้องอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
นายณัฐวุฒิ ปราศรัยต่อว่า กระสุนสุดท้าย จบไปตั้งแต่ พฤษภาคม 53 และต้องไม่มีอีกต่อไป ขอส่งกำลังใจไปยังพ่อ แม่ ครอบครัวของทุกคน ผมเคยถูกขังมาก่อน อิสรภาพอยู่บนความเปราะบาง ไม่แน่นอน รู้ว่าคนเป็นพ่อแม่เจ็บปวดเพียงใด ขอได้รับเอาพลังแห่งตามหวังดี เป็นแรงให้ยืนหยัดสู้ต่อ เป็นแรงติดตามทวงถามอิสรภาพ ให้กับลูกเราต่อไป
จากนั้น เวลา 14.56 น. ประชาชนลุกขึ้นยืน ชู 3 นิ้ว ร่วมร้องเพลง ‘นักสู้ธุลีดิน’ ของ จิ้น กรรมาชน บางส่วนโบกธงสีแดงจากแนวร่วมกลุ่มต่างๆ ให้พัดไสวไปตามลม
ต่อมาเวลา 15.01 น. ประชาชนตะโกน “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน บางส่วนปักหลักรอร่วมกิจกรรม ของเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ในช่วงค่ำนี้
ก่อนหน้านี้ ที่สถานีโทรทัศน์ พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. พร้อมด้วย ศักดิ์ระพี พรหมชาติ, ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก, สุริยา ชินพันธ์ พร้อมด้วย ญาติวีรชน อาทิ พะเยาว์ อัคฮาด และ ณัทพัช อัคฮาด ซึ่งเป็นมารดาและน้องชายของ นางสาวกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนภายในวัดปทุมวนารามในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 รวมถึงมวลชนจำนวนหนึ่งร่วมกันรำลึกและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วีรชนที่ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์เมษาฯ-พฤษภาฯ 2553 เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี 10 เมษา 2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง
โดยมีการนำรูปวีรชนที่เสียชีวิตมาประกอบพิธีทำบุญ พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ จากวัดสุวรรณประสิทธิ์ จำนวน 9 รูป มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา พร้อมถวายสังฆทาน และกรวดน้ำให้วีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว จากนั้นเวลา 09.00 น.นายจตุพร พร้อมคณะได้ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีทั้งอาหารคาวหวาน อาทิ น้ำพริกกะปิปลาทูทอด พะโล้ขาหมู ผัดผักรวม ต้มจืดมะระยัดไส้ แกงส้มมะละกอกับกุ้ง ผัดพริกไก่สะตอ
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ครบรอบ 11 ปี 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของความตาย วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว มีความตายเกิดขึ้น 26 ชีวิต จนถึง 19 พฤษภาคม 2553 มีคนตายทั้งหมดกว่า 99 ชีวิต และเสียชีวิตในภายหลังร่วมกว่า 10 ชีวิต ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เพราะประชาชนไปเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งในขณะนั้นเรียกร้องเพียงแค่ให้มีการยุบสภาแต่กลับจบลงด้วยการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน
“ดังนั้น ความตายที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศไทย อย่างน้อยมี 2 เหตุการณ์ ที่มีการสร้างอนุสรณ์สถานให้คนรุ่นต่อไปได้สืบสานเจตนารมณ์ คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535” นายจตุพร กล่าว
และว่า ส่วน 2 เหตุการณ์ที่มีความเจ็บปวดมากที่สุด คือ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการล้อมฆ่าประชาชนนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ และเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553 มีการล้อมปราบและเข่นฆ่าประชาชนมากที่สุดกว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
“ทั้ง 2 เหตุการณ์คือความร้าวราน เจอหน้ากันต้องกอดกันร่ำไห้ ดังนั้น ตนมีความหวังว่าวันหนึ่งเราคงจะได้มีอนุสรณ์สถาน เพื่อรวมอัฐิของพี่น้องวีรชน 53 ไว้ ในที่เดียวกัน เหมือนกรณีอนุสรณ์สถานพฤษภาคม 2535 เพื่อเป็นที่รวมประวัติศาสตร์เป็นที่จดจำของวีรชนในเหตุการณ์ดังกล่าว”
ดังนั้น วันนี้ถือว่าเป็นการรำลึกเหมือนเช่นกับทุกปี ซึ่งใน 11 ปีที่ผ่านมานี้ ก็มีรูปแบบการทำบุญต่างๆ ทั้งแยกกันไปทำเป็นเฉพาะบุคคล ใครสะดวกตอนไหนก็ไปกันที่นั่น นอกจากนี้ วันที่ 19 พฤษภาคมนี้ เราจะเชิญชวนพี่น้องญาติวีรชนมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งหนึ่งเพื่อรำลึกถึงวีรชนผู้เสียสละ พลีชีพให้กับระบบประชาธิปไตย
นายจตุพร ยังกล่าวถึง การยุติเวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยไว้ชั่วคราว ว่า ตนสู้มาร่วม 30 ปี รู้ว่าจังหวะใดต้องรุกจังหวะใดต้องถอย แต่ประเด็นสำคัญใคร คือ ผู้ถือความชอบธรรม หากยังเดินการชุมนุมต่อรัฐก็จะปฏิบัติการไอโอและเราก็จะกลายเป็นผู้ร้ายและถูกสร้างให้เกิดความชิงชัง เหมือนที่เคยสร้างมา
“ดังนั้น ในการระบาดโควิด-19 รอบนี้ และทุกรอบที่ผ่านมา เป็นความบกพร่องของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างอภัยไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มาแล้ว 7 ปี ถ้าไม่ทำอะไร ก็จะอยู่ไปอีก 6 ปี ตลอดระยะเวลา 15 ปี แห่งความขัดแย้งของคนไทย ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุด คือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สั่งสมอำนาจ มาจนแข็งแกร่ง เช่น ทุกวันนี้ แต่อีกไม่นาน พลเอก ประยุทธ์ ต้องออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน การชุมนุมของกลุ่มไทยไม่ทนที่ผ่านมา เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ประเมินจากสถานการณ์โควิด-19 จึงรีบยุติชั่วคราว แต่เราจะทำต่อไปทางโซเชียลมีเดีย และจะแตกหักจริงในเดือนพฤษภาคม”
แน่นอน, สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ การเผยไต๋ออกมาแล้วว่า “ณัฐวุฒิ” และพวก จะร่วมกันนำม็อบ 3 นิ้วต่อสู้ในเวลาอันใกล้นี้ ที่สำคัญนี่คือ การปรับเปลี่ยนแนวทางต่อสู้ของ “อีแอบ” ม็อบ 3 นิ้ว หลังพบว่า แกนนำ 3 นิ้ว ทำได้อย่างดีก็แค่ “ซ้ายไร้เดียงสา” ที่สู้ไปก็ถูกดำเนินคดีไป โอกาสชนะถือว่า ยาก ต่างกับ “ณัฐวุฒิ” ที่เคยพาคนเสื้อแดงต่อกรกับคณะทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ มาอย่างโชกโชน
อีกทั้ง “ณัฐวุฒิ” แตกต่างอย่างชิ้นเชิงกับแกนนำกิจกรรมนักศึกษา เพราะผ่านมาทั้งเวทีชุมนุม เวทีการเมืองในฐานะรัฐมนตรีถึงสองกระทรวงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนั้น ลีลาวาทกรรมในการปราศรัย นอกจากเรียกได้ว่า “เอามวลชนอยู่” แล้ว ยังน่าจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากคุก มากกว่า “ซ้ายไร้เดียวสา” อย่างมาก
เว้นเสียแต่ ภาพลักษณ์แกนนำคนเสื้อแดงที่ไม่เคยเปลี่ยนจากเดิม และยังคงไม่หลุดพ้นจากตระกูลชินวัตร ที่ทำให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่า นี่คือพลังมวลชน “3 นิ้ว” ร่วมกับพลังคนเสื้อแดง ที่ดูอย่างไรก็ยังเห็นภาพ “ทักษิณ” ลอยมาหลอกหลอนคนไทยอยู่เช่นเคย คนไทยคิดอย่างไร ก็ไม่รู้สินะ!!?